วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

" New Normal ของการลงทุน "

คำว่าNormal” นั้น  เริ่มมีการใช้กันอย่างแพร่หลายน่าจะหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจอเมริกาในปี 2008 ที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรงมากที่ทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจลดต่ำลงมากและดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถกลับมาเติบโตเหมือนเดิมได้อีกต่อไป  กูรูทั้งหลายเชื่อว่า “ตัวเลขใหม่”  ที่ดู “ผิดปกติมาก”  เมื่อเทียบกับตัวเลขที่เคยเป็นนั้นจะกลายเป็น  “มาตรฐานใหม่”  และจะเป็น  “ตัวเลขปกติ” ที่จะดำเนินต่อไปในวันข้างหน้า  หลังจากนั้น  คำว่า New Normal ก็ถูกนำไปใช้ในเรื่องอื่น ๆ  อีกมาก  เหตุผลคงเป็นเพราะว่าในระยะหลัง ๆ  นี้  โลกได้เปลี่ยนแปลงไปเร็วและมาก  สิ่งใหม่ ๆ  ที่เกิดขึ้นได้ “ทำลาย” สิ่งเก่า ๆ  ที่เราคุ้นเคย  สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่จำนวนมากไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นครั้งเดียวอีกต่อไป  ดังนั้น  ในฐานะนักลงทุน  เราจะต้องตระหนักตลอดเวลามิฉะนั้นเราอาจจะหลงคิดว่า  “สิ่งที่เลวร้ายเดี๋ยวก็จะผ่านไป”  คำพูดคลาสสิกของเบน เกรแฮมที่ว่า  “This too shall past” อาจจะใช้ไม่ได้อีกแล้วในหลาย ๆ  เรื่อง  มาดูกันว่ามีอะไรที่จะเป็น New Normal ในตลาดหุ้นและการลงทุนของนักลงทุนไทย

    เรื่องแรกก็คือ  อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย  ถึงแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้จะดูดีขึ้นมากในรอบน่าจะหลายปี  แต่ก็น่าจะเป็นการเติบโตจากอัตรา 3% ต้น ๆ  เป็น 3% ปลาย ๆ เป็นอย่างมาก  และผมคิดว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตกลับมาเกิน 4% ต่อปีเป็นเรื่องยาก  ไม่ต้องคิดถึงอัตรา 5% หรือ 7%  ที่นักเศรษฐศาสตร์รุ่นเก่า ๆ เคยคุ้นเคยและคิดว่ามันเป็นอัตราการเติบโตตาม  “ธรรมชาติ”  หรืออัตราเติบโตตามปกติของไทยมายาวนาน  เหตุผลก็เพราะว่าคนไทยแก่ตัวลงและขาดแคลนแรงงานซึ่งทำให้ไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพหรือกำลังแรงงานที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากนัก  ผมคิดว่า New Normal ของการเติบโตของไทยน่าจะอยู่ที่ 3-4% ก็หรูแล้ว  และนี่อาจจะทำให้ไทยไม่ใช่เศรษฐกิจที่ “โตเร็ว” อีกต่อไป

    การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมเองนั้น  ผมก็คิดว่าคงจะช้าลงตามเศรษฐกิจ  ในสมัยก่อนนั้น  การเติบโตของรายได้และ/หรือกำไร ที่ต่ำกว่า 10% นั้นถูกถือว่า “โตช้า”  บริษัทเหล่านั้นก็จะไม่ค่อยมีใครสนใจลงทุนแม้ว่าเศรษฐกิจเองก็โตแค่ 5-6%  ประเด็นก็คือ  ในยุคก่อนนั้น  บริษัทจดทะเบียนมักจะถูกมองว่าต้องโตเร็วกว่าเศรษฐกิจ   แต่ถ้าบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้นมีขนาดใหญ่มากจนเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจได้อย่างปัจจุบัน   ตามหลักการแล้ว  บริษัทจดทะเบียนก็ไม่น่าจะโตกว่าการโตของเศรษฐกิจบวกเงินเฟ้อ  และด้วยหลักการนี้  ในระยะยาวแล้ว  การเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมก็ไม่น่าจะโตไปกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจบวกเงินเฟ้อได้  ดังนั้น  ในความเห็นของผมก็คือ  กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่จะเป็น New Normal ก็คือ น่าจะโตประมาณ 5-10% ต่อปี  โดยที่บริษัทที่  “โตเร็ว” นั้น  น่าจะโตแค่หลัก 10% บวกลบ  ในขณะที่บริษัทที่โตปกตินั้นน่าจะอยู่ที่ 5% บวกลบ  บริษัทที่โตเร็วมากนั้นอาจจะได้ถึง 15% บวกลบ  ที่จะโตมากกว่านั้นน่าจะเป็นเฉพาะบริษัทที่เพิ่งเริ่มและยังเล็กมากเท่านั้น

    ผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยที่ผ่านมาในอดีต 42 ปี อยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้น  นั่นก็เป็นผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมน่าจะระดับต้น ๆ ของโลก  และก็น่าจะเกิดขึ้นเพราะเศรษฐกิจไทยในช่วงเดียวกันก็เติบโตดีในระดับต้น ๆ  ของโลกเช่นเดียวกัน  แต่ถ้าเศรษฐกิจไทยโตช้าลงมากในอนาคต  ตลาดหุ้นก็น่าจะโตหรือให้ผลตอบแทนต่อปีน้อยลง  ในความคิดผม  ตลาดหุ้นไทยน่าจะมี New Normal นั่นก็คือในอนาคตน่าจะให้ผลตอบแทนตามการเติบโตทางเศรษฐกิจบวกเงินเฟ้อที่ต่ำ  ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นน่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 7-8%  โดยตัวเลขที่ผมคิดว่าปลอดภัยก็คือ 5% ต่อปีในระยะยาว

    New Normal ของการลงทุนที่ผมคิดว่ากำลังจะเกิดขึ้นตามมาจากเรื่องของการโตช้าลงของตลาดหุ้นไทยก็คือ  การลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทย  ปรากฏการณ์ในช่วงเร็ว ๆ  นี้ก็คือ  นักลงทุนโดยเฉพาะที่ยังมีอายุน้อยกว่าต่างก็สนใจและเริ่มลงทุนในต่างประเทศทั้งในตลาดพัฒนาแล้วอย่างอเมริกาและตลาดกำลังพัฒนาอย่างเวียตนาม   แม้แต่นักลงทุนสูงวัยและมีเงินมากกว่าต่างก็ลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนรวมทั้งที่เป็นพันธบัตรและหุ้นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  การลงทุนในต่างประเทศจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติหรือเป็นเรื่องเฉพาะสำหรับบางคนอีกต่อไป

    เช่นเดียวกับเรื่องของการลงทุนในต่างประเทศ  การลงทุนที่อาศัย Robot หรือหุ่นยนต์ก็อาจจะกำลังกลายเป็น  New Normal ด้วย  เหตุผลก็คือ  มันมีความสามารถและประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ   จริงอยู่  การให้หุ่นยนต์ทำเองทุกอย่างโดยอัตโนมัตินั้น  ยังคงมีน้อยในตลาดหุ้นไทย  แต่ผมคิดว่าการใช้ Robot ช่วยในการลงทุนอาจจะเป็นเรื่องปกติขึ้นเรื่อย ๆ  เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ  ต้นทุนของการใช้นั้นต่ำลงมาก  และในหลาย ๆ  สถานการณ์  การใช้ Robot ก็อาจจะทำได้ดีกว่าคน

    คุณภาพหรือความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมและบริษัทจดทะเบียนในระยะหลัง ๆ  นี้ผมก็คิดว่ามี  New Normal อยู่ไม่น้อยและเราจะต้องตระหนัก  มิฉะนั้นแล้วเราก็อาจจะวิเคราะห์ตามความคิดและความเชื่อเดิมซึ่งอาจจะทำให้ผิดพลาดได้  เหตุผลก็เพราะว่าเทคโนโลยีดิจิตอลพัฒนาขึ้นมาเร็วจนถึงจุดที่มันสามารถ Disrupt หรือทำลายวิธีการเดิม ๆ  อย่างรวดเร็วและทำให้เกิดมาตรฐานใหม่ขึ้นมา  ตัวอย่างเช่น  ในธุรกิจสื่อเช่นทีวีนั้น  Old Normal หรือแนวความคิดเดิมก็คือมันเป็นธุรกิจที่ดีมาก  ดังนั้น  บริษัทที่ประสบความสำเร็จจะได้กำไรมากและมีค่า PE สูงมาก  แต่ New Normal  อาจจะเป็นว่า  ธุรกิจทีวีไม่ใช่ธุรกิจที่ดีเยี่ยมอีกต่อไปแล้ว  ดังนั้น  กำไรก็อาจจะไม่สูงและค่า PE ของหุ้นก็อาจจะไม่สามารถสูงได้อีกต่อไปแม้ว่าจะเป็นช่องทีวีที่ประสบความสำเร็จ

    เรื่องของการใช้ชีวิตหรือการใช้เงินของคนไทยเองนั้น  ผมคิดว่าก็มี New Normal เกิดขึ้นมากและอาจจะส่งผลต่อการวิเคราะห์ในเรื่องของการลงทุน  ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือเรื่องของการใช้เวลาซึ่งผมคิดว่าคนไทยใช้เวลาเพิ่มกับการ  “ดูหน้าจอแบบเคลื่อนที่” มากขึ้นมาก   ซึ่งก็มักจะตามมาด้วยการทำกิจกรรมต่อเนื่องเช่น  การสั่งสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตตั้งแต่อาหาร  เสื้อผ้า  เครื่องใช้  และเรียกรถรับจ้าง เป็นต้น  ผลกระทบตรง ๆ  ก็คือการที่คนดูทีวีและอ่านหนังสือเล่มน้อยลงมาก  ส่วนผลกระทบทางอ้อมนั้นก็มีมหาศาล  น่าเสียใจที่คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือ  บริษัทต่างชาติที่ให้บริการดูหน้าจอและขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต  ส่วนคนที่เสียประโยชน์มากก็คือบริษัทท้องถิ่นไทยที่ถูกแย่งลูกค้าไปมากขึ้นเรื่อย ๆ

    มีเรื่องราวอีกมากมายที่เริ่มจะเกิดขึ้นแล้วในสังคมของประเทศที่พัฒนาสูงและผมเชื่อว่าในที่สุดมันก็จะมาถึงประเทศไทย  ตัวอย่างเช่น  การใช้รถไฟฟ้าแทนรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน  ประเด็นเหล่านี้เราจะต้องพิจารณาว่า  “เมื่อไร”  และใช้เวลานานแค่ไหนที่มันจะกลายเป็น New Normal  ในสังคมหรือตลาดไทย  ถ้าเราจะลงทุนหรือเลิกลงทุนขายหุ้นที่เกี่ยวข้องทิ้งเราจะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง   ประเด็นที่ผมต้องเตือนก็คือ  อย่าไปคิดว่า  “เมืองไทยหรือคนไทยไม่เหมือนคนอื่น”  โลกในสมัยนี้เป็นหนึ่งเดียว  เราอาจจะไม่เหมือนหรือไม่พยายามเหมือนหรือทำแบบคนอื่นได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ  แต่ในระยะยาวแล้ว  เป็นไปไม่ได้ New Normal ก็คือ  คนในโลกจะมีวิถีชีวิตและพฤติกรรมเหมือนกันทุกประเทศตามฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละคน

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-------------

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

5เคล็ดลับเจ้าสัวทำไมคนจีนถึงรวยล้นฟ้า?

คิดเล่นๆ คำว่า ‘จีน’ ตัดสระอีทิ้ง ก็จะเป็นคำว่า ‘จน’

หมายถึง อัตคัดขัดสน ฝืดเคือง มีเงินไม่พอยังชีพ

วิธีคิดเล่นๆ ข้างต้น ก็เปรียบเสมือนการดำรงชีวิตของคนไทยเชื้อสายจีนที่ไม่อยากให้ตัวเองจนนั่นเอง เราจึงมักได้ยินเข้าหูจนชินว่าคนจีนขยัน ส่วนคนไทยชอบชิลๆ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะคนไทยไม่ขยันทำมาหากิน แต่เป็นเพราะคนไทยเชื้อสายจีนมีความขยันมากกว่าจนน่าประหลาดใจ ดังนั้น “แรงผลักดันชีวิต” จึงต่างกันและเป็นจุดยืนสำคัญที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ตามมา

ในประเทศไทยนั้น จะเห็นว่ามีเจ้าสัวหรือคนไทยเชื้อสายจีนที่เป็นเศรษฐีเกิดขึ้นมากมาย จนขนาดทำให้ต้องมาตั้งข้อสงสัยว่าทำไมบุคคลเหล่านี้ จึงร่ำรวยได้ขนาดนั้น คนไทยขาดทักษะด้านใดที่เป็นตัวแปรทำให้คนเชื้อสายจีนรวยกว่า แล้วคนเชื้อสายจีนมีวิธีคิด หรือ กลยุทธ์การใช้ชีวิตอย่างไร? จึงทำให้เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ในหลายๆ บริษัทในประเทศไทยจนติดอันดับความรวยที่สุดในประเทศ ไปดูกันว่า 5 เจ้าสัวที่รวยที่สุดในประเทศไทย เขามีวิธีคิดและทำธุรกิจให้ร่ำรวยกันอย่างไร?

อันดับ 1-5 มหาเศรษฐีไทย ปี 2558
(จัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์)

1. นายธนินท์ เจียรวนนท์ (แซ่เจี๋ย)

เครือซีพี ทรัพย์สิน 4.8 แสนล้านบาท

เคล็ดลับเจ้าสัว:

“ผมทำงานไม่ได้คิดเลยเรื่องกำไร ไม่ได้คิดว่าทำธุรกิจนี้แล้วจะได้กำไรเท่าไร ผมคิดว่าทำธุรกิจอะไร อันดับแรกดูแค่ว่ามีโอกาสสำเร็จไหม”

2. นายเจริญ สิริวัฒนภักดี (แซ่โซว)

ไทยเบฟเวอเรจ ทรัพย์สิน 4.36 แสนล้านบาท

เคล็ดลับเจ้าสัว:

“ถ้าคุณอดทน เพื่อจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ คุณจำเป็นอย่างมากที่จะต้องลงมือศึกษาเรื่องนั้นๆ อย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ถ้าคุณไม่อดทน โอกาสที่คุณจะผิดพลาดก็ย่อมมีสูงเช่นกัน”

3. ตระกูลจิราธิวัฒน์ (แซ่เจ็ง)

ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีก ทรัพย์สิน 4.1 แสนล้านบาท

เคล็ดลับเจ้าสัว:

“ผมและพี่น้องมี Passion ในการทำงานในธุรกิจเยอะมาก เพราะถูก Built in มาตั้งแต่เด็ก มื่อจบมาทุกคนต้องมาทำเหมือนกันหมด ในเมื่อเรารู้สึกสนุกกับมันจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ก็จะไม่มีวันเบื่อ”…ทศ จิราธิวัฒน์ กล่าว

4. นายเฉลิม อยู่วิทยา (แซ่สี่)

จากกระทิงแดง ทรัพย์สิน 3.221 แสนล้านบาท

เคล็ดลับเจ้าสัว:

“กระทิงแดง หมายถึง มีกำลัง กระทิงมีกำลังมาก ชื่อนี้เป็นชื่อที่ผมคิดขึ้นเอง ออกแบบโลโก้เอง ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่ออกตามมาที่ใช้ชื่อกระทิงแดงนั้นก็ไม่ได้ถือเคล็ดอะไร เพียงแต่เห็นว่าเป็นชื่อทางการค้าที่คนส่วนใหญ่รู้จักและจำกันได้อยู่แล้ว ก็ไม่ควรไปสร้างชื่อใหม่ให้เปลืองค่าโฆษณา ไม่ต้องเสียเวลาไปสร้าง Brand Loyalty อีก”

5. นายกฤตย์ รัตนรักษ์ (แซ่หลี)

บิ๊กบอสช่อง 7 สี ทรัพย์สิน 1.577 แสนล้านบาท

เคล็ดลับเจ้าสัว:

“เก็บตัวเงียบ ไม่ชอบเป็นข่าว ไม่ชอบออกสื่อ แต่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจสูงสุด”

นอกจากเคล็ดลับเจ้าสัวข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้คนไทยเชื้อสายจีนดังกล่าวก้าวขึ้นมาสู่ระดับท็อปของความมั่งมี ไปดูกันว่า 5 ปัจจัยหลักๆ ที่สร้างเสริมและเป็นตัวขับเคลื่อนทำให้พวกเขาร่ำรวยล้นฟ้า คืออะไรกันบ้าง?

คนจีนรักษาสัจจะเยี่ยงชีวิต

ไม่ว่าจะทำกิจการงานอะไร คนจีนจะมีนิสัยหนึ่งที่ถือเป็นเครื่องหมายการค้าเลยทีเดียว นั่นก็คือสัจจะในการทำงานหรือการดำรงชีวิต ซึ่งการรักษาคำพูด พูดคำไหนคำนั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจและทำให้ได้รับโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ทำให้พวกเขาร่ำรวย

ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ

คนจีนถือเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจในหลายๆ อุตสาหกรรม โดยมีคติว่า “ทำธุรกิจ ต้องทำเป็นคนแรก อย่าไปแข่งกับคนที่เขาทำอยู่แล้ว” ความขยันในการคิดและค้นหาสินค้ามาขายก่อนใครๆ ถือเป็นกลยุทธ์การค้าที่สร้างให้พวกเขามั่งคั่งและกลายเป็นเจ้าตลาด

ค้าขายเท่านั้นจึงจะร่ำรวย

คนเชื้อสายจีนส่วนใหญ่มีรากฐานอาชีพค้าขายหรือทำธุรกิจส่วนตัว ไม่ใช่รับราชการ หรือเป็นลูกจ้างประจำ ดังนั้นระยะเวลาที่สั่งสมประสบการณ์ทางการค้าและเริ่มธุรกิจมานาน จึงทำให้ความร่ำรวยเติบโตและมีสายป่านทางการเงินที่มั่นคง

ขยัน ประหยัด อดทน เหมือนมดงาน

ความร่ำรวยของคนจีนนั้น พื้นฐานสำคัญมาจากการมีนิสัยขยัน พร้อมจะทำงานและพัฒนาตัวเองทุกอย่างเท่าที่ทำได้ อีกทั้งยังใช้ชีวิตแบบสมถะ ประหยัด อดออม จึงทำให้มีเงินก้อนเร็วในการเริ่มทำธุรกิจ และยังเป็นนิสัยติดตัวไปตลอดถึงแม้จะร่ำรวยมหาศาลแล้วก็ตาม

มีคอนเน็คชั่นที่แข็งแกร่ง

คนเชื้อสายจีนนั้นมีความผูกพันและกลมเกลียวกันมาก ดังที่เราจะเห็นว่าพวกเขารวมตัวกันจนเป็นปึกแผ่นเช่น China Town ที่มีอยู่แทบทุกประเทศใหญ่ๆ ทั่วโลก แม้กระทั่งเมืองไทยก็มีเยาวราชที่เป็นเสมือนศูนย์กลางธุรกิจและรากฐานของคนเชื้อสายจีนในประเทศไทย และนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเชื่อมต่อโยงใยผู้คน ธุรกิจ การทำงาน และความช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนกลายสายป่านที่แข็งแรง

สุดท้ายนี้ องค์ประกอบของความร่ำรวยนั้น ไม่ว่าจะคนไทยแท้หรือคนเชื้อสายจีน หรือคนชาติใดๆ ในโลกก็ตาม หากมีปัจจัยข้างต้นในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ความขยัน ประหยัด อดทน พูดแล้วทำ หรือกล้าบุกเบิก ก็สามารถที่จะร่ำรวยได้ เพียงแต่คุณต้องเริ่มให้เร็วและเริ่มลงมือสร้างมันตั้งแต่วันนี้

ที่มา : Wikipedia Forbesthailand Pixabay

cahttradingview

AAPL ชาร์ต โดย TradingView