วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

หลักการอ่านค่า macd

หลักการอ่านค่า MACD
ข้อดีของ macd มีประโยชน์ต่อนักลงทุน โดยเป็นเครื่องมือ ที่ใช้ในการยืนยัน แนวโน้ม และทิศทางของราคาหุ้น ว่าจะไปทางทิศไหน ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ทำให้สามารถ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น กับการซื้อขาย
ข้อเสียของ macd บางครั้งวิ่งขึ้นลงแรง จะทำให้เกิดสัญญาณบ่อยครั้งเกินไป ก่อนที่จะแสดงทิศทาง ที่ชัดเจนให้เห็น เพราะ macd มีการตั้งค่าช้ากว่า indicator ตัวอื่นๆลักการมองง่ายๆเพื่อประกอบการตัดสินใจมีดังต่อไปนี้
1) ถ้า macd > 0 = เป็นแนวโน้มขาขึ้น
2) ถ้า macd < 0 =
เป็นแนวโน้มขาลง
3) ถ้า macd > 0 & ตัดเส้น signal ลง = ราคาอาจเกิดการพักฐาน
4) ถ้า macd < 0 ตัดเส้น signal ขึ้น = ราคากำลังขึ้น
5) ถ้า macd > 0 & ตัดเส้น signal ขึ้น = ราคาขึ้นแน่นอน
6) ถ้า macd < 0 & ตัดเส้น signal ลง = ราคาลงแน่นอน
7) ถ้า macd ตัด 0 ขึ้นไป เป็นสัญญาณซื้อ แน่นอน
8) ถ้า macd ตัด 0 ลงไป เป็นสัญญาณขาย แน่นอน
เส้น 0 = เส้น V Line
ทั้งหมดนี้ จะเป็นข้อมูลชี้แนะ ให้กับ เทรดเดอร์มือใหม่ แต่จะเป็นการ รบกวนก้านสมอง ของเทรดเดอร์มือเก่า หากเป็นการรบกวนเวลาของเทรดเดอร์มือเก่าต้องกราบขออภัยไว้ณที่นี้ ขอให้เพื่อนๆทุกคนโชคดีร่ำรวยจากการเทรดทุกวันนะครับ ผม 5555++++

วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประเมินราคาพื้นฐานของหุ้น

วิธีเบสิคเลย คือ ใช้สูตร Price = PE x Eps/y เทียบปัจจุบันและอนาคตที่จะถึง

เช่น ในรูปคือ HMPRO
EPS ณ วันประกาศกำไร 9 เดือน คือ 0.26
สรุปคือ เฉลี่ยไตรมาศ ละ 0.086

ถ้าเรามองว่า HMPRO ยังค้าขายดีสม่ำเสมอเหมือน 9 เดือนที่ผ่านมา
Price = (0.086 + 0.086 + 0.086 + 0.086) x 35.97 = 12.23

แต่ถ้าคุณมองว่า HMPRO 3 เดือนที่เหลือ ขายดีขึ้นอีก ก็ปรับเอง เช่น
Price = (0.086 + 0.086 + 0.086 + 0.100) x 35.97 = 12.90

หรือจะเอา PE ค่าอื่นๆ โดยอ้างธุรกิจค้าปลีกแบบเดียวกันมาใช้ก็ได้ เช่น
Price = (0.086 + 0.086 + 0.086 + 0.100) x 40 = 14.32

ทั้งนี้มีปัจจัยอีกเยอะ เพราะพฤติกรรมและข้อมูลการเลือกซื้อหุ้นแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นกับว่าคุณประเมินกำไรไว้ยังไง กำไรจะมาเมื่อไหร่ จะซื้อรอเลยมั๊ย หรือ รอให้ดูเป็นไปได้มากกว่านี้แล้วค่อยซื้อ เป็นต้น

เครดิต Smith Ung

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

MACD

หลักการอ่านค่า MACD
ข้อดีของ macd มีประโยชน์ต่อนักลงทุน โดยเป็นเครื่องมือ ที่ใช้ในการยืนยัน แนวโน้ม และทิศทางของราคาหุ้น ว่าจะไปทางทิศไหน ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ทำให้สามารถ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น กับการซื้อขาย
ข้อเสียของ macd บางครั้งวิ่งขึ้นลงแรง จะทำให้เกิดสัญญาณบ่อยครั้งเกินไป ก่อนที่จะแสดงทิศทาง ที่ชัดเจนให้เห็น เพราะ macd มีการตั้งค่าช้ากว่า indicator ตัวอื่นๆลักการมองง่ายๆเพื่อประกอบการตัดสินใจมีดังต่อไปนี้
1) ถ้า macd > 0 = เป็นแนวโน้มขาขึ้น
2) ถ้า macd < 0 =
เป็นแนวโน้มขาลง
3) ถ้า macd > 0 & ตัดเส้น signal ลง = ราคาอาจเกิดการพักฐาน
4) ถ้า macd < 0 ตัดเส้น signal ขึ้น = ราคากำลังขึ้น
5) ถ้า macd > 0 & ตัดเส้น signal ขึ้น = ราคาขึ้นแน่นอน
6) ถ้า macd < 0 & ตัดเส้น signal ลง = ราคาลงแน่นอน
7) ถ้า macd ตัด 0 ขึ้นไป เป็นสัญญาณซื้อ แน่นอน
8) ถ้า macd ตัด 0 ลงไป เป็นสัญญาณขาย แน่นอน
เส้น 0 = เส้น V Line
ทั้งหมดนี้ จะเป็นข้อมูลชี้แนะ ให้กับ เทรดเดอร์มือใหม่ แต่จะเป็นการ รบกวนก้านสมอง ของเทรดเดอร์มือเก่า หากเป็นการรบกวนเวลาของเทรดเดอร์มือเก่าต้องกราบขออภัยไว้ณที่นี้ ขอให้เพื่อนๆทุกคนโชคดีร่ำรวยจากการเทรดทุกวันนะครับ ผม 5555++++

เครดิต เซียนขงหมิง


วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

15 ข้อเตือนใจ ของ Trader

15 ข้อเตือนใจ ของ Trader
<><><><><><><><><><><><><><>
1) อาชีพเทรดเดอร์เป็นการตามหาเงิน ไม่ใช่อิสรภาพทางการเงิน ที่เข้าใจผิดมาตลอด เพราะเรายังต้องเจอ ความเครียดจาก Position ที่ถืออยู่ในมือ
2) กำไรเฉลี่ย 5 ถึง 10 % ของเทรดเดอร์ถือว่าโอเคแล้ว การจะกินคำใหญ่ <<<Big Trade  Size>>>เป็นเรื่องค่อนข้างยากไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆในตลาดอาจต้องรอเป็นเดือนหรือเป็นปี อย่าให้ความโลภความกลัวเข้าครอบงำโดยเด็ดขาด
3) เทรดเดอร์มีหน้าที่บันทึกข้อมูล จากการเทรดว่าจะได้มากน้อยขนาดไหน เราทำได้แค่ การคาดการณ์แนวโน้มของตลาดเท่านั้น ไม่มีใครสามารถที่จะสั่งการ ตลาดได้
4) ต้องไม่มีญาติโยมในตลาดการเงิน เพราะตลาด ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ 100%
5) เทรดเดอร์เป็นอาชีพที่เสี่ยง และคาดหวัง ผลต่าง ของราคา แต่ละตัว เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เป็นช่วงๆไปเท่านั้น
6) การเทรด ต้องมีวินัย ปล่อยให้พอร์ตเติบโตสะสมไปจากผลกำไรข้อควรจำต้องไม่เติมเงินเข้าไปในพอร์ตทุกกรณี
7) แนวรับและแนวต้าน ของหุ้นแต่ละตัว เป็นจุดที่ Trader ต้องให้ความสนใจและเฝ้าระวังติดตาม เป็นกรณีพิเศษ
8) การเอาชนะตลาด เป็นทฤษฎี และมโน ภาพ ของคนโง่ ควรรักษาตัวเองให้อยู่รอดในตลาดได้ยืนยาวตลอดไป
9) พยายามทำตามวินัยให้เคร่งครัดตั้งซื้อตั้งขายตรงไหน ให้ทำตามตรงนั้น ขายแล้วราคาขึ้นเด้งใส่หน้าช่างหัวมัน ซื้อแล้วราคาลงให้อดทนรอ ต้องเชื่อตามเทคนิคอลกราฟ
10) พยายามใช้เครื่องมือให้น้อยและเรียบง่ายเหมาะสมกับตัวเอง ถ้าใช้เครื่องมือมากเกินไป จะเกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกันทำให้เกิดความลังเลในการตัดสินใจ
11) ไม่ควรปล่อยให้พอร์ด ขาดสภาพคล่อง เมื่อซื้อหุ้น แล้วราคาถึงเป้าหมายควรขายออก อย่าเติมเงิน โดยเด็ดขาด ควรมีสภาพคล่องอย่างน้อย 40%
12) จากข้อ 11 จะทำให้เทรดเดอร์ได้เปรียบในกรณีที่ ตลาดเป็น<<< b e a r >>>จะมีคนเอาของถูกมาขาย เพราะเกิดแพนิคเซลล์ ขายด้วยเหตุผลความกลัว ขาดเงิน Cut loss ถูก Call margin เราจะสามารถรับของถูกได้โดยทันทีพราะเรายังเหลือเงินในพอร์ท
13) จงจำไว้ว่า ไม่มีใครสามารถซื้อของได้ถูกที่สุดและขายของได้แพงที่สุดแต่ถ้าเจอจังหวะที่ใช่ ให้จัดเต็ม ((All In))ในจังหวะนั้นๆ
14) ไม่ต้องกลัวตกรถ เพราะตลาดมักจะเกิดรูปแบบซ้ำซ้ำกันอยู่เสมอ ตรงกับบทความที่ว่า พฤติกรรมจะซ้ำซากประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
15) การเทรดในตลาดเป็นเรื่องยาก จงอย่าประมาท ให้บันทึก พฤติกรรมของตัวเอง ทุกการกระทําได้ยิ่งดี สิ่งใดที่ถูกต้อง ให้ทำต่อ สิ่งใดที่ผิดพลาด ต้องกลับมาทบทวนข้อสำคัญ อย่าทำซ้ำอีก
<<< อรุณสวัสดิ์วันหยุดครับเพื่อนๆ วันนี้พาครอบครัวไปเรียนที่ไหนก็ตามขอให้มีความสุข กลับมาจากเที่ยวหากมีเวลาว่างบ้างพอสมควรอย่าลืมทำการบ้าน เพื่อการเทรดในอาทิตย์ ถัดไปนะครับผมโชคดีร่ำรวยทุกท่านครับ>>>5555++++
เครดิต:fackbook

วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วิธีดูหุ้นปั่น

โดย อ.โจ ลูกอีสาน

"หุ้นปั่นในนิยามของผม มี 2 จำพวก

- หุ้นพื้นฐานแย่มากๆ แล้วปั่น
- หุ้นพื้นฐานดี หรือพอมีพื้นฐานบ้าง ปั่นจนราคาแพงเว่อร์ เป็นการปั่นแบบเนียนๆ

ลักษณะร่วมของหุ้นปั่นมีหลายอย่าง
หุ้นบางตัว อาจเป็นหุ้นที่ดีก็ได้ ถึงแม้ตรงกับหุ้นปั่นบางประการ แต่ถ้ามีลักษณะร่วม ตรงกันหลายอย่าง โปรดระวัง

หุ้นปั่นมักเป็นอย่างไร

1. ประตูหน้ามีไม่เข้า ชอบเข้าประตูหลัง หน้าบ้านมี ชอบมุดเข้าประตูหลัง ไม่ปกติ หุ้นที่เข้าตลาดโดยการ backdoor listing ความเข้มงวดของกฎเกณฑ์อาจน้อยกว่า เข้าประตูหลัง ไม่เสียงดัง ไม่เอิกเกริก แต่ถ้าของดี ทำไมต้องทำลับลมคมใน ทำไมไม่เข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย หุ้นของใคร ที่เข้าประตูหลัง อาจจะไม่ทุกตัว แต่ควรสงสัย

2. โปรดลืมฉัน

หุ้นบางตัว อยากให้นักลงทุนลืมๆ ชื่อเสียง (เน่าๆ) ในอดีต ทำอย่างไร วิธีที่นิยมคือเปลี่ยนชื่อบริษัท หุ้นบางตัว อยู่ๆโผล่ๆ ขึ้นมา ทั้งที่ไม่เคยมีการขาย ipo มันมาจากการเปลี่ยนชื่อ หวังว่าเปลี่ยนชื่อแล้ว จะเป็นสิริมงคล เป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท ล้างเรื่องเน่าๆ ในอดีตให้ผ่านไป มันก็แค่ "เหล้าเก่าในขวดใหญ่" นิสัยกมล...ของผู้บริหาร มันไม่ได้เปลี่ยนตามชื่อบริษัท ลองดูหุ้นที่ถือ ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้ว ชื่ออีก จนขุดหารากเหง้าไม่เจอ ท่านต้องระวังตัวแล้ว

3. หากำไรไม่เจอ

หรือมีก็บางๆ ก็ความมั่งคั่งหลักของผู้บริหาร ไม่ได้มาจากเงินปันผล แต่มาจากการหากินกับราคาหุ้น กับ"การดูด" ความมั่งคั่งจากบริษัท ผ่านรายจ่ายที่ถูกกฏหมาย เช่นเงินเดือน รถประจำตัวแหน่ง ค่าตอบแทนต่างๆ กับผลประโยชน์ที่ตกลงกับบุคคลที่ 3 ผ่านการซื้อสินค้าหรือบริการ ราคาแพงกว่าปกติ ส่วนที่จ่ายเกิน ก็ทอนกับมาสู่ผู้บริหารหรือเครือญาติ บริษัทเหล่านี้มีแต่ขาดทุนซ้ำซาก เพราะผู้บริหารร่วมใจกัน "ดูด" นั่นเอง หรือบางครั้งก็เลี้ยงให้บริษัทมีกำไรขาดทุนบางๆ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นด่ามาก แล้วเอาเวลามาหากินกับส่วนต่างราคาหุ้น เป็นพักๆ ท่านเห็นไหมบริษัทอย่างนี้ มีกี่บริษัทในตลาดหุ้นไทย

4. เพิ่มทุนเป็นนิจ

ต่อจากข้อที่แล้ว ในเมื่อกิจการขาดทุนเสมอๆ จากการดูดเงินของผู้บริหาร เมื่อผ่านไปนานเข้า เงินหมดบริษัท ส่วนทุนใกล้ติดลบ อาจโดนตลาดแขวน sp ย้ายเข้ากลุ่ม rehap ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว นั่นคือการเพิ่มทุน จะเอาเงินจากใครดี ควักกระเป๋าเอง หรือดูดเงินจากรายย่อย แน่นอนต้องเป็นอย่างหลัง (บางบริษัทมีเงื่อนใขให้รายย่อยซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิ์ได้ พอเม่าคนไหนใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเกินสิทธิ์ ผลออกมา ได้ครบทุกคนเลย แต่ผู้บริหารไม่ซื้อสักหุ้น โอละพ่อ.. ก็วัตถุประสงค์คือดูดเงินจากรายย่อย นี่นา

5. ปั่นหุ้น ต้องมีสตอรี่

ต่อเนื่องจากการเพิ่มทุน ก็ถ้าไม่มีสตอรี่ ที่ตื่นเต้น ใคร้..จะยอมเพิ่มทุน คราวนี้ก็โหมประโคมข่าวตามหนังสือพิมพ์ โปรเจคโน้นนี้ เราจะทำพลังงานทดแทน เราจะหันไปทำธุรกิจใหม่ ยอดขายเราจะโตปีละ 50% บลาาๆ รายย่อยพอให้ฟังเรื่องราวน่าตื่นเต้น บวกกับการชงข่าว ออกข่าวของผู้บริหาร เกิดอาการอิน ความโลภเริ่มทำงาน สติเริ่มหาย โลกสดใสเหลือเกิน จัดไปเพิ่มทุน แถมซื้อเกินสิทธ์

6. ฝนตกขี้หมูไหล คน...มาพบกัน

สังเกตไหม หุ้นปั่นมักจะมีชื่อ นามสกุล ซ้ำๆไปมาไม่กี่ตระกูล ไม่กี่คน โยงใยกันไหมหมด ชาติที่แล้วอาจมีกรรมอะไรกัน ชาตินี้เลยต้องมาพบกัน (เพื่อปั่นหุ้น) หุ้นบางตัว รายชื่อผู้ถือหุ้นจะซ้ำๆ กับหุ้นอีกตัว หรืออีกหลายตัว เป็นไปได้ไหมว่า คนเหล่านี้ อาโนเนะ ไร้เดียงสา ไม่รู้จักกันจริ๊งๆ เราพบกันโดยบังเอิญ หรือที่จริงเป็นการสบคบคิด รวมหัว เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน เคยเห็นไหม หุ้นบางตัวเพิ่มทุน ได้เงินทุน แทนที่จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ กลับเอาไปซื้อหุ้นอีกตัวที่ราคาแพงๆ (แล้วไอ้โม่งที่ขายหุ้นให้คือใคร) หุ้นบางตัว swap หุ้นวุ่นวายกันไปหมด แต่สุดท้ายพวกเดียวกันทั้งน้านนนน

7. หุ้นดี ดันไม่มีเจ้าของ

บ้าหรือเปล่า บอกว่าหุ้นตัวเองดีนักหนา แต่ไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้น ถือกันคนละไม่เกิน 5% ไหนบอกดีหนักหนา ทำไมไม่ถือหุ้น 50% ก็วัตถุประสงค์การถือหุ้นไม่ใช่ รอรับปันผล หรือส่วนแบ่งกำไร แต่คือการดูดและเอาส่วนต่างราคา ทำไมจะต้องไปถือหุ้นเยอะๆ ล่ะ ถือแค่ให้พอรวบอำนาจการบริหารก็พอ หุ้นปั่นแทบทุกตัวจะเป็นอย่างนี้ แต่หุ้นบางตัวถือกันคนละไม่เยอะจริง แต่ส่วนใหญ่ดันเป็น nominee คนกันเองทั้งนั้น อย่างนี้อาจไม่เข้าข่าย

8. ลูกรักของ กลต. ตลท.

เมื่อทางการเริ่มได้กลิ่นไม่ดี สิ่งแรกที่ทำคือให้บริษัทชี้แจง ซึ่งบริษัทก็จะตะแบงไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็แถจนผ่านละ เพราะที่ปรึกษาทางการเงินก็เตรียมข้อมูลมาแล้ว (รับเงินมาแล้วนี่) ตอนผ่านวาระประชุม ก็สบายเพราะผู้บริหารถือสัก 20% ก็ผ่านแล้ว รายย่อยที่มีเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ไม่มีพลัง เพราะส่วนใหญ่ไม่ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไม่รู้จักการพิทักษ์สิทธ์ตัวเองด้วยซ้ำ ทางการก็พยายามเตือนเท่าที่จะทำได้ บอกให้ไปประชุมผ่านวาระสำคัญ ใส่เทรดดิ้ง alert ใส่ turnover list ยังเอาไม่อยู่

9. ไม่ครบองค์ประชุม

ในเมื่อเป็นบริษัทไม่มีเจ้าของ ถือหุ้นเป็นเบี้ยหัวแตก รวมกันได้แค่ 20-30% พอนัดประชุมก็มัก "ไม่ครบองค์ประชุม" ต้องนัดใหม่ ซึ่งครั้งที่ 2 มักจะประชุมได้ เพราะใช้คนละเกณฑ์ วาระไหนที่น่าสงสัย ก็มักจะผ่านในการประชุมครั้งที่ 2 นี่เอง หุ้นตัวไหนที่ไม่ครบองค์ประชุม ต้องระวัง

10. ราคาที่หวือหวา

เป็นหุ้นปั่น ราคาต้องหวือหวา เพราะนี่คือเชื้อไฟอย่างดีเพื่อล่อ "แมงเม่า" ให้มาติดกับ ไฟหน้าจอหุ้นปั่นจะกระพริบตลอดเวลา เปรียบเสมือนไฟจากกองไฟที่ล่อแมงเม่า เม่าหลายคนแม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหุ้นปั่น แต่ overconfidence bias มักคิดว่าตัวเองเจ๋งจะ "หนีทัน" ดันลืมไปว่า ถ้าจ้าวมือไม่เก่งจริง โดนเม่ากิน จะเป็นจ้าวมือได้อย่างไร ราคาหุ้นที่ขึ้นพร้อมบิดหนาๆ อย่าเพิ่งชะล่าใจว่ามีคนจะซื้อเยอะ เผลอเมื่อไหร่บิดหายทันที พร้อมกันห้าช่อง เหลือแต่บิดรายย่อย แล้วโยนโครมซ้าย ยัดหุ้นใส่มือเม่า offer ที่หนาๆ โดนเคาะ อย่าคิดว่าแรงซื้อจริง อาจเป็นของจ้าวมือหรือเครือขายซื้อหุ้นตัวเอง เพื่อทำเสมือนมีคนสนใจซื้อหุ้นเยอะ ในหุ้นปั่น อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น

11. เราจะ turnaround

เราเปลี่ยนชื่อบริษัท เราเปลี่ยนกรรมการ เราจะเปลี่ยนธุรกิจ เราจะเทินอราวด์ ถ้าธุรกิจมันเปลี่ยนกันง่ายๆก็ดีซิ หุ้นหลายตัวเอาให้ได้โครงการไว้ก่อน (ไว้หลอกนักลงทุนให้เพิ่มทุน) พอทำจริงๆ ขาดทุนบักโกรก จำบริษัททำป้ายโฆษณารถเมย์ได้ไหม เป็นตัวอย่างสูตรสำเร็จของการปั่นหุ้น สตอรี่เทินอราวด์ เอาไว้หลอกวีไอที่ฟังก็ชักเคลิ้ม

12. ขุดผีจากหลุม

บางครั้งลงทุนแม้กระทั่งขุดผีจากหลุม วิธีการก็ไปซื้อบริษัทเน่าๆที่อยู่ใน rehap นำมาปัดฝุ่น ใส่ธุรกิจใหม่ที่ดาดๆ พอผลประกอบการผ่านเกณฑ์ ก็ออกจากหลุม ปั่นราคาขึ้นไปเยอะ นัยว่าธุรกิจพื้นตัวแข็งแกร่งแล้ว ระหว่างก็รินขายตลอด จำบริษัท ภาพทางขวางของเอเชีย ได้ไหม นี่ก็เห็นบริษัทก่อสร้างอีก บริษัที่ผู้บริหารโดนคดียักยอก สุดท้ายต้องตัดขายหุ้นให้พวกขุดผี น่าแปลกว่าคนที่ไปขุดผี ดันเป็นกลุ่มเดิมๆ อีกแล้ว บังเอิญจริง ๆๆ

13. พื้นฐานวันนี้ ราคาชาติหน้า

เป็นหุ้นที่พอจะมีพื้นฐานบ้าง เป็นหุ้นที่อาจจะ turnaround ได้จริง จากขาดทุนซ้ำซาก มีกำไรนิดหน่อย แต่ราคาหุ้นโดนกระชากไป สะท้อนกำไรหลายๆปีข้างหน้าแล้ว หุ้นโรงไฟฟ้าเอย หุ้นลม หุ้นอาทิตย์

14. หุ้นปั่น วีไอ

บริษัทมีโปรเจคมากมาย เป็นโปรเจคจริง แต่ใช้เงินเยอะจังเลย จะหาเงินจากไหนดี เอ่อ...ได้ข่าวนักลงทุนวีไอรวยกันนักใช่ไหม เอางี้ ไปติดต่อให้มา company visit บริษัทเราเดี่ยวนี้ !! ให้ตัวเลขกำไรไปเลย อีก 5 ปีข้างหน้า เราจะกำไรเท่าไหร่ อัดแต่ข่าวดีๆ เอาให้เว่อร์ ๆหน่อย วีไอชอบ พอวีไอไล่ซื้อ ราคาดี เราก็ทยอยเพิ่มทุนไปเรื่อยๆ อย่าให้มาก เดี๋ยวแตกตื่น เท่านี้เราก็ได้เงินทุนมาใช้ เสียสัดส่วนหุ้นไม่เท่าไหร่ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม (พอเพิ่มทุนเสร็จ ก็ไม่ต้องให้ข่าวดีแล้วนะ)

15. หุ้นปั่นไอพีโอ

หุ้นเก่าเป็นสนิม หุ้นใหม่หน้าตาจุ๋มจิ่ม นักลงทุนชอบของใหม่ บิ้วให้เยอะๆ ออกสื่อ road show ขายหุ้นให้แพงที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของเดิม (ถ้าขายได้ถูกๆ ก็ไม่ต้องเข้าตลาดดีกว่า) หุ้นเก่าๆ พีอี 10 เท่าแพง หุ้นใหม่ๆพีอี 30 เท่าบอกถูก ยังไม่พอ เทรดวันแรกบิ้วไปเลย ข่าวดีอัดเข้าไป ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ให้ข่าวเยอะๆ ยังขึ้นได้อีก ทีอีตันยังขึ้นเยอะได้เลย นี่กองทุนมาร์คก็เข้ามาซื้ออีก บิ้วไป ขายไอพีโอว่าแพงแล้ว เข้าตลาดยังแพงได้อีกกกก นักลงทุนไทย สุดยอด (ดอยอีกแล้ว  )..

16. ปันผลไม่เคยเห็น

จะเห็นได้ไง มีแต่การดูดเงิน (เพิ่มทุน) ไม่มีหน้าที่แจกเงิน (ปันผล) ส่วนใหญ่ขาดทุนซ้ำซาก ปันผลไม่ได้อยู่แล้ว แต่บางตัวมีกำไร ทำไมไม่จ่าย ก็จะแจกเงินให้รายย่อยทำไมล่ะ เราเข้ามาดูดเงินอย่างเดียว เงินอยู่ในบริษัท เดี๋ยวเราก็ดูดออกได้ แบ่งให้รายย่อยทำไม บางบริษัทต้องตุนเงินสดไว้ทำธุรกิจ ปันผลไม่ได้ เพราะแบงค์รู้ทัน ไม่ยอมปล่อยกู้ บริษัทปั่นหุ้น

17. อ๊อฟเดส์ไม่เคยโผล่

จะโผล่มาได้ไง มีแต่แผลทั้งนั้น มาให้นักลงทุนลากใส้หรือ วัวสันหลังหวะ คนทำผิด ย่อมไม่กล้าสู้หน้าคน กลัวโดนซักมาก เดี๋ยวจับได้ไล่ทัน ผิดกับทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟ มีหุ้นปั่นตัวไหน กล้ามาอ๊อฟเดส์บ้าง มีแต่ชอบออกหนังสือพิมพ์ปั่นหุ้น

18. สำเร็จกิจ ถีบหัวส่ง

การเพิ่มทุนเป็นเป็นกระบวนการที่สำคัญมากๆ ของการปั่นหุ้น เป็นการ "ดูดเงิน" ที่ถูกกฎหมาย อยู่ๆ จะเพิ่มทุน ใคร้รรจะมาซื้อหุ้น วิธีที่ได้ผลและทุกบริษัททำคือ ทำราคา+อัดสตอรี่ จ้างสปอนเซอร์มาทำราคา กระชากขึ้นไป พอราคาขึ้น ก็ถึงตาของผู้บริหารให้ข่าว สอดรับเป็นปี่เป็นขลุ่ย เราจะทำโปรเจคโน้นนี้ (ใช้เงินทั้งนั้นแหละ) ราคาที่ขึ้นไปเรื่อยๆ บวกสตอรี่ที่สดใส ฟ้าสีทอง ผ่องอำไพอยู่เบื้องหน้า ถึงจุดไครแม็ก ประกาศเพิ่มทุน (จะเอาไปทำโปรเจคที่ว่าไว้) เพิ่มทุนที่ราคาดอย = ดูดเงินได้สูงสุด พอเพิ่มทุนสำเร็จกิจ ก็แยกทาง ตัวใครตัวมัน สปอนเซอร์หมดหน้าที่ ราคาหุ้นจะค่อยๆไหลลง แม้แต่บริษัทที่พอมีพื้นฐานบ้างก็ทำอย่างนี้ ยังจำกลุ่มสื่อที่หันไปทำธุรกิจดิจิตอลได้ไหม pattern เหมือนที่เล่าเป๊ะๆหรือเปล่า

ใช้คำพูดแรงไปนิด พาดพิงใคร หรือหุ้นใครไปบ้างก็อภัยนะครับ จิ้งจกทักยังฟัง ก็ฟังผมบ่นบ้างละกัน แต่อยากย้ำนะครับ ไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่มีคุณสมบัติเหล่านี้แล้วจะเป็นหุ้นปั่น

cr. โจ้ ลูกอีสาน

วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ติดดอยหาทางลงอย่างไรดี

😁ติดดอย หาทางลงอย่างไรดี😁

ดอยในการลงทุนนั้น มีหลายดอยคะ ไม่ว่าจะเป็นดอยหุ้น ดอยน้ำมัน ดอยทองคำ หรือแม้แต่ดอยหุ้น

ต่างประเทศ เรียกได้ว่าทุกสินทรัพย์ที่มีการซื้อขาย สามารถสร้างดอยได้ทั้งหมด เขาว่า ทองดีก็ซื้อ

บ้าง หุ้นตัวไหนแรงก็ตามไปด้วย พอมารู้ตัวอีกทีก็อยู่บนดอยเสียแล้ว ถึงแม้จะมีเพื่อนร่วมอาศัยบน

ดอยมากมาย ไม่ว่าจะอาศัยกันอยู่แถบเชิงดอย หรือยอดดอย ก็ไม่เคยทำให้เรารู้สึกอบอุ่นแต่อย่างใด

จริงไหมคะ เช่นนั้นแล้ว วันนี้ เรามาหาทางลงดอยกันดีกว่าคะ

ขั้นตอนแรกก่อนการลงดอย เรามาตั้งสติ พิจารณาดูกันอีกทีว่า สินทรัพย์ที่ดอยอยู่นั้น ยังมีอนาคตและสมควรเก็บไว้ในครอบครองหรือไม่ เช่น กรณีของดอยหุ้น หากพบว่ายังเป็นหุ้นที่ดี มีอนาคต โดยราคาที่ลดลงน่าจะเกิดจากความผันผวนในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือเราอาจมองได้ว่า ราคาหุ้นตอนนี้เป็นเพียงดอยชั่วคราวเท่านั้น เช่นนี้ ให้ทำใจร่ม ๆ แล้วอดทนถือต่อไป ยิ่งถ้ามั่นใจในพื้นฐานหุ้นมาก ๆ รวมทั้งมั่นใจว่า ราคาหุ้นจะกลับมาในอนาคต การตัดสินใจซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนก็ไม่ว่ากันคะ

แต่ถ้าดูแล้วพบว่าเป็นเพียงหุ้นที่ “เคย” ดีก็ตัดใจเสียเถิดคะ อย่าลืมว่า พื้นฐานหุ้นมันเปลี่ยนไปได้ ไม่ว่าจะด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หรือการมีสินค้าอื่นทดแทน ซึ่งย่อมทำให้กำไรที่เคยได้เป็นกอบเป็นกำ กลับลดลงจนน่าใจหาย ซึ่งหากเจอกรณีเช่นนี้ นับว่ามีโอกาสของความเป็นดอยถาวรเสียแล้ว กรณีนี้ ให้สูดหายใจลึก ๆ แล้วเตรียมลงดอยกันเลยครับ

✔วิธีที่ 1 เนื้อร้ายต้องตัดทิ้ง (Cut Loss) เมื่อพื้นฐานมันเปลี่ยนไปแล้ว แถมแนวโน้มราคา มีแต่จะปักหัวดิ่งลง ยิ่งช้ำใจกว่านั้นเมื่อเห็นราคาหุ้นตัวอื่นวิ่งขึ้นทั้งตลาด ในสถานการณ์เช่นนี้ ตัดใจขายเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่นเพื่อมาสร้างกำไร ชดเชยขาดทุนดีกว่าครับ จริง ๆ แล้ว การ Cut Loss นั้น เป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานของนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนสายเทคนิค ที่มักจะกำหนดลิมิตของการขาดทุนไว้ เช่น หากราคาหุ้น ลดลงไปจากราคาที่ซื้อไว้ 20% ต้องทำการ Cut Loss ทันที เพื่อจำกัดการขาดทุนนั่นเองคะ

✔วิธีที่ 2 ลดอาการบาดเจ็บด้วยการซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อลดราคาต้นทุนให้ต่ำลง โดยวิธีการนี้ต้องดูแนวโน้มราคาหุ้นประกอบการตัดสินใจด้วยครับ เพราะการซื้อถัวควรทำในแนวโน้มขาขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น

ซื้อหุ้น A ราคาหุ้นละ 1 บาท จำนวน 1,000 หุ้น ต้นทุน 1,000 บาท

ต่อมา หุ้น A ราคาหุ้นละ 0.65 บาท ทำให้หุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.65*1,000 = 650 บาท ขาดทุน 350 บาท

คาดการณ์ว่า 0.65 บาท เป็นราคาต่ำสุดของหุ้น A แล้ว ตัดสินใจซื้อหุ้น A เพิ่ม 1,000 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.65 บาท ทำให้ต้นทุนหุ้นในพอร์ตรวม 1,000 + 650 = 1,650 บาท โดยหุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.65*2,000 = 1,300 บาท หรือขาดทุน 350 บาท

ต่อมา หุ้น A ราคาหุ้นละ 0.80 บาท ทำให้หุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.8*2,000 = 1,600 บาท หรือขาดทุน 50 บาท จากตัวอย่าง การซื้อหุ้นในแนวโน้มขาขึ้นเพื่อถัวให้ราคาเฉลี่ยลดลง ช่วยลดความเสียหายของหุ้นในพอร์ตเหลือ 3% (ขาดทุน 50 บาท จากต้นทุน 1,650 บาท) แต่หากเราไม่ได้ทำอะไรเลย เราจะขาดทุน 20% (ขาดทุน 200 บาท จากต้นทุน 1000 บาท) ทั้งนี้ การคำนวณไม่ได้คิดค่าธรรมเนียมในการซื้อขายนะคะ

ความเสี่ยงจากการแก้พอร์ตด้วยวิธีนี้ คือ หากการคาดการณ์เราผิดพลาดโดยไปซื้อหุ้นเพิ่มในแนวโน้มราคาขาลง พอร์ตเราจะยิ่งติดดอยหนักขึ้นไปอีกครับ ถึงแม้เราจะได้ราคาต้นทุนต่ำลงไปเรื่อย ๆ แต่อย่าลืมว่า มูลค่าหุ้นที่ถือในปัจจุบัน ก็จะยิ่งต่ำลงไปเช่นกัน

✔วิธีที่ 3 Short Against Port เป็นการขายหุ้นออกบางส่วน เพื่อนำเงินกลับไปซื้อหุ้นตัวเดิมในราคาที่ถูกลงเพื่อให้มีจำนวนหุ้นในพอร์ตเพิ่มขึ้น วิธีนี้เป็นการลดความเสียหายของพอร์ต โดยไม่เพิ่มต้นทุน แต่ต้องอาศัยการคาดการณ์ที่แม่นยำของราคาแนวรับ แนวต้านคะเช่น

ซื้อหุ้น B ราคาหุ้นละ 1 บาท จำนวน 1,000 หุ้น ต้นทุนรวม 1,000 บาท

ต่อมา หุ้น B ราคาหุ้นละ 0.7 บาท ทำให้หุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.7*1,000 = 700 บาท ขาดทุน 300 บาท

คาดการณ์ว่า ราคาหุ้น B จะลดลงต่ำกว่าแนวรับแรกที่ 0.7 บาท ตัดสินใจขายหุ้น B ออกไปก่อน 500 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.7 บาท ได้เงิน 350 บาท ทำให้ต้นทุนเหลือ 1,000 -350 = 650 บาท โดยขณะนี้หุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.7* 500 = 350 บาท ขาดทุน 300 บาท

ต่อมา หุ้น B ราคาหุ้นละ 0.5 บาท ทำให้หุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.5*500 = 250 บาท ขาดทุน 400 บาท

วิเคราะห์ว่า หุ้น B ที่ราคา 0.5 บาทเป็นจุดต่ำสุด นำเงินที่ขายหุ้น B 350 บาท กลับเข้าซื้อหุ้น B ที่ราคา 0.5 บาท ได้ 350 / 0.5 = 700 หุ้น ต้นทุนกลับมาเป็น 650+350 = 1,000 บาท โดยพอร์ตมีมูลค่า 0.5*(500+700) = 600 บาท

หุ้น B ราคาเด้งกลับไปชนแนวต้านที่หุ้นละ 0.80 บาท ทำให้พอร์ตมีมูลค่า 0.8*1,200 = 960 บาท ขาดทุน 40 บาท

จากตัวอย่าง เราสามารถลดความเสียหายของพอร์ตเหลือ 4% (ขาดทุน 40 บาท จาก 1,000 บาท) แต่หากไม่ได้ทำอะไรเลย พอร์ตของเราจะขาดทุน 20% (ขาดทุน 200 บาท จาก 1,000 บาท) โดยวิธีนี้นอกจากการคาดการณ์ทิศทางแนวโน้มที่แม่นยำแล้ว การคาดการณ์แนวรับ แนวต้านก็สำคัญเช่นกันคะ

นี่เป็นเพียงแค่บางตัวอย่างสำหรับการแก้พอร์ตหุ้นด้วยหุ้น ยังมีวิธีที่เราสามารถนำ Derivative เข้ามาช่วยแก้พอร์ตได้ เช่น การ Short Futures ของหุ้นตัวที่เราถืออยู่ เพื่อให้กำไรจาก Futures มาหักล้างกับการขาดทุนจากราคาหุ้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ดอยสูงมาก ๆ การแก้พอร์ตอาจต้องใช้แรงงานและเวลาค่อนข้างมาก ดังนั้นแล้ว เราไม่ควรปล่อยให้พอร์ตขาดทุนมาก ๆ แล้วค่อยหาทางแก้ไข ถ้ารักจะเทรดหุ้นแล้ว อย่าลืมฝึกฝนตัวเองให้มีวินัยในการ Cut loss ด้วยนะ

cr:Line

วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ข้อคิดจากการลงทุนในหุ้นมา 14 ปีคัดลอกเพิ่นมา

ข้อคิดจากการลงทุนในหุ้นมา 14 ปี
1. พอร์ตเล็กมีโอกาสทำกำไรได้สูงกว่าพอร์ตใหญ่
2. ไม่ว่าจะ VI หรือเทคนิก จะเล่นสั้นหรือยาว ถ้าศึกษารู้จริงล้วนสามารถทำกำไรสูงๆจนเป็นอิสระทางการเงินได้ทั้งนั้น
3. ถ้าต้องการจะเป็นอิสระทางเวลา และสบายใจไม่ต้องเครียดทุกๆวัน ควรลงทุนระยะยาว มองที่มูลค่ากิจการไม่ใช่ราคา
4. การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) กับการถือหุ้นยาวไม่เหมือนกัน การติดดอยไม่เรียกว่าการลงทุนแบบ VI ถ้าพื้นฐานแย่ลงก็ไม่ควรกอดหุ้นไว้
5. อดีตที่สวยหรูของบริษัท ไม่ได้รับประกันว่าอนาคตจะต้องดีด้วย การติดตามการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจเสมอๆเป็นสิ่งจำเป็น
6. ไม่มีใครรู้จริง ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ราคาหุ้น สภาวะตลาด หรือแม้แต่ผลประกอบการได้อย่างแม่นยำทุกครั้งไป สิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ การเผื่อใจวางแผนเตรียมรับมือกรณีฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็น
7. หุ้นขึ้นแรงๆมีทุกวัน อย่าไปไล่ซื้อ เรารวยได้โดยไม่จำเป็นต้องไปมีส่วนร่วมในหุ้นทุกตัวที่ขึ้นแรง
8. ไม่มีงานสัมนาไหนที่จะเปลี่ยนคนให้ลงทุนเก่งขึ้นได้จริงแบบทันทีทันใด ดังนั้นอย่าเสียเงินแพงๆไปอบรมสัมนาหุ้นเพื่อหวังรวยเร็ว
9. การลงทุนคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งร้อยเมตร ไม่มี Short cut ไม่มีวิธีรวยเร็ว มีแต่ต้องทุ่มเทศึกษา สะสมความรู้และประสบการณ์เป็นเวลาหลายๆปี ผลตอบแทนที่ได้จะแปรผันตามความขยันทุ่มเทที่เราใส่ลงไป
10. การแลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนนักลงทุนจะช่วยให้มีโอกาสพบบริษัทที่น่าสนใจมากขึ้น ดังนั้นควรจะหาโอกาสไปเยี่ยมชมกิจการ หรือสัมนาฟรีบ้าง เพื่อเพิ่มความรู้และทำความรู้จักเพื่อนนักลงทุนใหม่ๆ
11. ภาพใหญ่ของธุรกิจสำคัญกว่าภาพเล็ก การเข้าไปจ้องมองระยะใกล้ๆในภาพเล็กเพียงอย่างเดียวอาจจะทำให้มองไม่เห็นภัยคุกคามที่กำลังจะมาถึง ตรงกันข้ามถ้ามองภาพใหญ่ออก ถึงภาพเล็กจะมองผิดไปบ้างก็ไม่ได้เสียหายนัก
12. ซื้อหุ้นคือซื้ออนาคต ถ้ามองอนาคตไม่ออกก็ไม่ควรซื้อ
13. หุ้นขนาดใหญ่ไม่ได้แปลว่าเป็นหุ้นพื้นฐานดี
14 . หุ้นราคาต่ำบาทไม่ได้แปลว่าถูกกว่าหุ้นราคาหลักพัน ความถูกความแพงต้องเทียบราคาหุ้นกับมูลค่ากิจการที่ควรเป็น
15. จะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนดีต้องลงทุนในหุ้นเติบโต การลงทุนในหุ้นที่เน้นปันผลแต่กำไรในอนาคตไม่เติบโตจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
16. หุ้นของกิจการที่ดี แข็งแกร่ง และเติบโตสูงๆ อาจจะให้ผลตอบแทนที่แย่ได้หากซื้อมาด้วยราคาที่แพง
17. ถึงแม้จะถือหุ้นครั้งละไม่กี่เดือน แต่ก็ต้องมองภาพอนาคต 2-3 ปีข้างหน้าให้ออก
18. อ่านบทวิเคราะห์ ไม่ต้องสนใจราคาเป้าหมาย ส่วนใหญ่เชื่อไม่ได้ ให้เลือกดูเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท และนำมาประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสมเอง
19. ยิ่งโลภยิ่งจน
20. "กล้าเมื่อคนส่วนใหญ่กลัว และกลัวเมื่อคนส่วนใหญ่กล้า" พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะคำว่า "ส่วนใหญ่" นั้นวัดยาก

ฝากไว้ด้วยนะจ้า😁😁
เครดิต T-DED

cahttradingview

AAPL ชาร์ต โดย TradingView