แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ลงทุน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ลงทุน แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

หุ้นขึ้นเครื่องหมาย?

เล่นหุ้นมือใหม่ต้องรู้จักเครื่องหมายต่าง ๆ ที่มีในระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย ว่าแต่เครื่องหมายเหล่านี้หมายถึงอะไรกันนะ

มือใหม่หัดเล่นหุ้นอาจจะสงสัยว่า ทำไมบางวันมีหุ้นบางตัวขึ้นเครื่องหมายภาษาอังกฤษ เช่น XD XR XM H SP อยู่ข้างชื่อหุ้น แล้วเครื่องหมายเหล่านั้นคืออะไรล่ะ เกี่ยวกับเราไหม ถ้าอยากรู้ วันนี้ กระปุกดอทคอม จะพาไปรู้จักกับเครื่องหมายเหล่านี้ ซึ่งนักลงทุนมือใหม่ต้องเรียนรู้และจดจำให้ดีเลยค่ะ เพราะถ้าเป็นหุ้นที่เรามีอยู่ นั่นหมายถึงผลประโยชน์ที่เราจะได้หรือไม่ได้ด้วย

ก่อนอื่นมารู้จักกับเครื่องหมายตระกูล X กันก่อน เป็นเครื่องหมายที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แสดงไว้บนหลักทรัพย์นั้นเป็นเวลาล่วงหน้า 3 วันทำการก่อนวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหลักทรัพย์ ดังนั้น เมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ติดเครื่องหมายประเภทดังกล่าวไว้บนหลักทรัพย์ใด หมายความว่า เราจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของหุ้นตัวนั้นในวันที่ขึ้นเครื่องหมาย

แล้วทำไมถึงต้อง 3 วันทำการล่ะ? เหตุผลก็เพราะปกติเวลาเราส่งคำสั่งซื้อหุ้น เราจะต้องจ่ายเงินในวันทำการที่ 3 เมื่อเราจ่ายเงินแล้ว ชื่อของเราถึงจะปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ถือหุ้น นั่นจึงต้องขึ้นเครื่องหมายก่อนวันปิดสมุดทะเบียน 3 วันทำการนั่นเอง

ทีนี้มาดูกันว่า มีเครื่องหมายอะไรบ้าง แล้วแต่ละตัวหมายถึงอะไร

XD (Excluding Dividend) : ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล

XR (Excluding Right) : ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิจองซื้อหุ้นออกใหม่

XW (Excluding Warrant) : ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหลักทรัพย์

XS (Excluding Short-term Warrant) : ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิรับใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหลักทรัพย์ระยะสั้น

XT (Excluding Transferable Subscription Right) : ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิรับใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ โอนสิทธิได้

XI (Excluding Interest) : ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิรับดอกเบี้ย

XP (Excluding Principal) : ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิรับเงินต้นที่บริษัทประกาศจ่ายคืนในคราวนั้น

XA (Excluding All Privileges) : ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิทุกประเภทที่บริษัทประกาศให้ในคราวนั้น

XM (Exclude Meetings) : ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่มีสิทธิเข้าประชุมผู้ถือหุ้น

XN (Exclude Capital Return) : ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่มีสิทธิได้รับเงินคืนทุน

เห็นแล้วอย่าเพิ่งงงไปค่ะ ถ้าอธิบายง่าย ๆ ก็คือ หากเราอยากได้สิทธิประโยชน์ของหุ้นตัวนั้น เราจะต้องซื้อหุ้นก่อนวันที่จะขึ้นเครื่องหมายนั่นเอง เช่น หุ้น AAA ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 หมายความว่า หากเราซื้อหุ้น AAA ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 เราจะไม่ได้รับเงินปันผลจากหุ้น AAA ในรอบนี้ แต่ถ้าเราต้องการเงินปันผล เราก็ต้องซื้อหุ้น AAA หรือมีหุ้น AAA ก่อนวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 นั่นเอง

ส่วนที่ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นเครื่องหมายอะไร วันไหนบ้างนั้น สามารถตรวจสอบได้จาก ปฏิทินหลักทรัพย์ (ข้อมูลสิทธิประโยชน์) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เลย

นอกจากเครื่องหมายที่ขึ้นต้นด้วย X แล้ว ก็ยังมีเครื่องหมายอื่น ๆ อีกที่ต้องรู้ คือ

H ย่อมาจาก Trading Halt หมายถึงการหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว สาเหตุอาจเป็นเพราะมีข่าวสารที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น แต่ทางบริษัทยังไม่ได้แจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงสั่งให้หยุดซื้อขายไว้ก่อน เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น หรือกรณีที่มีข้อมูลบางอย่างอยู่ระหว่างรอการเปิดเผย หรือมีเหตุอื่นที่อาจกระทบต่อการซื้อขายอย่างร้ายแรง ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องสั่งให้หยุดการซื้อขายไว้ก่อน

SP ย่อมาจาก Trading Suspension หมายถึง การห้ามซื้อขายหุ้นเป็นการชั่วคราว เมื่อเกิดกรณีเช่นเดียวกับการขึ้นเครื่องหมาย H แต่บริษัทยังไม่สามารถชี้แจงหรือเปิดเผยข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ หรืออาจฝ่าฝืน ละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งไม่ส่งงบการเงินให้ภายในเวลากำหนด ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงจะขึ้นเครื่องหมาย SP เพื่อหยุดการซื้อขายหุ้นชั่วคราว

NP ย่อมาจาก Notice Pending หมายถึง บริษัทมีข้อมูลที่ต้องรายงานตลาดหลักทรัพย์และอยู่ในช่วงรอข้อมูลจากบริษัท

NR ย่อมาจาก Notice Received หมายถึง ตลาดหลักทรัพย์ได้รับการชี้แจงข้อมูลจากบริษัทนั้นแล้ว

NC ย่อมาจาก Non-Compliance หมายถึง บริษัทที่เข้าข่ายการถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์

ST ย่อมาจาก Stabilization หมายถึง หุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีการซื้อหุ้นเพื่อส่งมอบหุ้นที่จัดสรรเกิน

ได้ทำความรู้จักกับสัญลักษณ์เหล่านี้ก็จดจำกันไว้นะคะ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ในการลงทุนของเราโดยตรงเลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เว็บไซต์ Kapook

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

กองทุนหรือกองโจร?

ลูบคมตลาดทุน:ธนะชัย ณ นคร

เคยเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2560 ด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า นักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนต่างๆ ทำตัวเสมือนเป็น “เจ้ามือ” อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ

หุ้นหลายๆ ตัวที่ราคาขึ้นและลงหวือหวา หรือมีแรงเหวี่ยงค่อนข้างมาก

หุ้นเหล่านี้จะมีกองทุนเข้าไปถือหุ้นอยู่

เช่น EA-BEAUTY-COM7–MTLS และหุ้นอื่นๆ อีกหลายตัว

ที่น่าสนใจ คือ หุ้นที่กองทุนเข้ามาถือนั้น

พบว่าหลายๆ บริษัทมีค่าพี/อี เรโช ค่อนข้างสูงมาก หรือมีตั้งแต่กว่า 30 เท่า ไปถึงเกือบ 50 เท่า

และบางตัวก็มีพี/อีมากกว่านั้น

แม้จะมีการบอกว่าการลงทุนของกองทุนไม่ได้ดูเพียงแค่พี/อี

ทว่าจะให้ความสำคัญกับ PEG มากกว่า เพราะแม้พี/อีจะสูง (มาก) แต่แนวโน้มผลประกอบการยังเติบโตสูง และเป็นการลงทุนระยะยาว

ก่อนหน้านี้ เวลานักลงทุนรู้มาว่ากองทุนเข้าหุ้นตัวไหน ก็พยายามวิ่งเข้าไปซื้อ

ผ่านมาถึงตอนนี้ชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่า หากวิ่งตามไปแล้วจะ “โดนเท” หรือไม่

และเป็นเรื่องที่นักลงทุนรายย่อยต่างต้องระมัดระวังและจับทิศทางกันเอง

เช่น หุ้น MTLS ราคาเคยขึ้นไปใกล้เต็มมูลค่า

วันดีคืนดีราคาร่วงลงมาอย่างหนัก

ต่อมามีผู้บริหารกองทุนออกมายอมรับว่าได้ขายหุ้นออกไป หลังจากมองว่าราคาเริ่มเต็มมูลค่า หรือเป็นการปรับพอร์ตตามปกติ

พร้อมกับพูดแบบหวานๆ ต่อมาว่าเมื่อราคาปรับลงมาก็อาจเข้าไปรับซื้ออีกครั้ง

แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ราคาหุ้น MTLS ปรับลงมาตลอด (ภาย) หลังมีข่าวเกี่ยวกับนโยบายของทางการที่จะเข้ามาควบคุมเรื่องอัตราดอกเบี้ย

เช่นเดียวกับหุ้นพลังงานไฟฟ้าบางตัว

ราคาเหมือนกับถูกดันขึ้นไปค่อนข้างสูง แล้วจู่ๆ หุ้นได้ถูกกองทุนเทขายออกมา ด้วยเหตุผลเหมือนกันว่า “ปรับพอร์ต” หรือขายทำกำไรตามปกติ

และยังตามด้วยคำพูดสวยๆ ว่าหุ้นนั้นๆ พื้นฐานยังดี และมีโอกาสก็จะเข้าซื้อภายหลัง

ต่อมาหุ้นตัวนั้น ราคายังคงปรับลงมาด้วยหลายปัจจัยและหนึ่งในนั้นคือมาจากนโยบายการรับซื้อไฟของทางการที่จะเปลี่ยนแปลงไป

มีการตั้งคำถามว่ากองทุนที่ขายหุ้นออกมาก่อนนั้น พวกเขารับรู้เกี่ยวกับข้อมูลที่เป็น “ปัจจัยลบ” ก่อนหรือเปล่า

เรื่องนี้ตอบยากจริงๆ

เพราะหากมองแบบให้ยุติธรรมหน่อย ก็ต้องรับทราบกันว่า ทางกองทุนเขาจะมีทีมงานที่คอยดูปัจจัยบวกและลบอยู่ตลอดเวลา

อย่างเมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยที่ปรับลงหนักๆ ก็ดูเหมือนว่ากองทุนอาจจะพอรับรู้กันล่วงหน้าแล้วว่า ตลาดหุ้นจะปรับฐานหรือร่วงลงอย่างแรง จึงทยอยขายหุ้นปรับพอร์ตกันไปแล้วบ้าง

ประเด็นเรื่องนักลงทุนประเภทสถาบัน (กองทุน) กับนักลงทุนรายย่อย จึงเป็นเรื่องของการ “ชิงไหวชิงพริบ”

ทุกวันนี้รายย่อยเองก็เก่งมากขึ้น และทำการบ้านมาดีมาก เอาชนะได้ทั้งฟันด์โฟลว์และกองทุน

และหลายๆ ครั้ง กลยุทธ์ที่นำมาใช้ก็มักคล้ายๆ เทรดหุ้นแบบสงครามกองโจร

ปกติแล้ว การรบแบบสงครามกองโจร ฝ่ายที่นำมาใช้จะเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า หรือมีกำลังน้อยกว่า

แต่หากฝ่ายที่แข็งแรงกว่า นำการสู้รบแบบกองโจรมาใช้ ก็ (อาจ) ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

เช่นเดียวกับกองทุนที่นำมาใช้ในเวลานี้

ตลาดหุ้นเป็นเรื่องของ Zero–Sum Game

มีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

พื้นฐานหุ้นควรรู้

สายพื้นฐานสักหน่อยไหมจ๊ะ
Mcap (M) = มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
P/E = อัตราส่วนราคาต่อกำไร ( Price / Earning per Share ) ยิ่งต่ำยิ่งดี
P/BV =อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (Price / Book Value) ยิ่งต่ำยิ่งดี
D/E =อัตราส่วนหนี้สิ้นต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt/Equity ) ยิ่งต่ำยิ่งดี
DPS =เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend Per Share) ยิ่งสูงยิ่งดี
EPS =กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share) ยิ่งสูงยิ่งดี
ROA % =อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (Retrun On Assets) ยิ่งสูงยิ่งดี
ROE % =อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) ยิ่งสูงยิ่งดี
NPM % =อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ยิ่งสูงยิ่งดี
Yield% =อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ยิ่งสูงยิ่งดี
FFloat% =อัตราส่วนจำนวนหุ้นที่ซื้อขายในตลาด (Free Float%)
ROA= -47.21% ยิ่งสูงยิ่งดี อันนี้ติดลบถือว่าแย่นะ
ROE= -95.65% ยิ่งสูงยิ่งดี อันนี้ติดลบถือว่าแย่นะ
NPM= -24.31% ยิ่งสุงยิ่งดี อันนี้ติดลบถือว่าแย่นะ

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

MACD

หลักการอ่านค่า MACD
ข้อดีของ macd มีประโยชน์ต่อนักลงทุน โดยเป็นเครื่องมือ ที่ใช้ในการยืนยัน แนวโน้ม และทิศทางของราคาหุ้น ว่าจะไปทางทิศไหน ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ทำให้สามารถ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น กับการซื้อขาย
ข้อเสียของ macd บางครั้งวิ่งขึ้นลงแรง จะทำให้เกิดสัญญาณบ่อยครั้งเกินไป ก่อนที่จะแสดงทิศทาง ที่ชัดเจนให้เห็น เพราะ macd มีการตั้งค่าช้ากว่า indicator ตัวอื่นๆลักการมองง่ายๆเพื่อประกอบการตัดสินใจมีดังต่อไปนี้
1) ถ้า macd > 0 = เป็นแนวโน้มขาขึ้น
2) ถ้า macd < 0 =
เป็นแนวโน้มขาลง
3) ถ้า macd > 0 & ตัดเส้น signal ลง = ราคาอาจเกิดการพักฐาน
4) ถ้า macd < 0 ตัดเส้น signal ขึ้น = ราคากำลังขึ้น
5) ถ้า macd > 0 & ตัดเส้น signal ขึ้น = ราคาขึ้นแน่นอน
6) ถ้า macd < 0 & ตัดเส้น signal ลง = ราคาลงแน่นอน
7) ถ้า macd ตัด 0 ขึ้นไป เป็นสัญญาณซื้อ แน่นอน
8) ถ้า macd ตัด 0 ลงไป เป็นสัญญาณขาย แน่นอน
เส้น 0 = เส้น V Line
ทั้งหมดนี้ จะเป็นข้อมูลชี้แนะ ให้กับ เทรดเดอร์มือใหม่ แต่จะเป็นการ รบกวนก้านสมอง ของเทรดเดอร์มือเก่า หากเป็นการรบกวนเวลาของเทรดเดอร์มือเก่าต้องกราบขออภัยไว้ณที่นี้ ขอให้เพื่อนๆทุกคนโชคดีร่ำรวยจากการเทรดทุกวันนะครับ ผม 5555++++

เครดิต เซียนขงหมิง


วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วิธีดูหุ้นปั่น

โดย อ.โจ ลูกอีสาน

"หุ้นปั่นในนิยามของผม มี 2 จำพวก

- หุ้นพื้นฐานแย่มากๆ แล้วปั่น
- หุ้นพื้นฐานดี หรือพอมีพื้นฐานบ้าง ปั่นจนราคาแพงเว่อร์ เป็นการปั่นแบบเนียนๆ

ลักษณะร่วมของหุ้นปั่นมีหลายอย่าง
หุ้นบางตัว อาจเป็นหุ้นที่ดีก็ได้ ถึงแม้ตรงกับหุ้นปั่นบางประการ แต่ถ้ามีลักษณะร่วม ตรงกันหลายอย่าง โปรดระวัง

หุ้นปั่นมักเป็นอย่างไร

1. ประตูหน้ามีไม่เข้า ชอบเข้าประตูหลัง หน้าบ้านมี ชอบมุดเข้าประตูหลัง ไม่ปกติ หุ้นที่เข้าตลาดโดยการ backdoor listing ความเข้มงวดของกฎเกณฑ์อาจน้อยกว่า เข้าประตูหลัง ไม่เสียงดัง ไม่เอิกเกริก แต่ถ้าของดี ทำไมต้องทำลับลมคมใน ทำไมไม่เข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย หุ้นของใคร ที่เข้าประตูหลัง อาจจะไม่ทุกตัว แต่ควรสงสัย

2. โปรดลืมฉัน

หุ้นบางตัว อยากให้นักลงทุนลืมๆ ชื่อเสียง (เน่าๆ) ในอดีต ทำอย่างไร วิธีที่นิยมคือเปลี่ยนชื่อบริษัท หุ้นบางตัว อยู่ๆโผล่ๆ ขึ้นมา ทั้งที่ไม่เคยมีการขาย ipo มันมาจากการเปลี่ยนชื่อ หวังว่าเปลี่ยนชื่อแล้ว จะเป็นสิริมงคล เป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท ล้างเรื่องเน่าๆ ในอดีตให้ผ่านไป มันก็แค่ "เหล้าเก่าในขวดใหญ่" นิสัยกมล...ของผู้บริหาร มันไม่ได้เปลี่ยนตามชื่อบริษัท ลองดูหุ้นที่ถือ ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้ว ชื่ออีก จนขุดหารากเหง้าไม่เจอ ท่านต้องระวังตัวแล้ว

3. หากำไรไม่เจอ

หรือมีก็บางๆ ก็ความมั่งคั่งหลักของผู้บริหาร ไม่ได้มาจากเงินปันผล แต่มาจากการหากินกับราคาหุ้น กับ"การดูด" ความมั่งคั่งจากบริษัท ผ่านรายจ่ายที่ถูกกฏหมาย เช่นเงินเดือน รถประจำตัวแหน่ง ค่าตอบแทนต่างๆ กับผลประโยชน์ที่ตกลงกับบุคคลที่ 3 ผ่านการซื้อสินค้าหรือบริการ ราคาแพงกว่าปกติ ส่วนที่จ่ายเกิน ก็ทอนกับมาสู่ผู้บริหารหรือเครือญาติ บริษัทเหล่านี้มีแต่ขาดทุนซ้ำซาก เพราะผู้บริหารร่วมใจกัน "ดูด" นั่นเอง หรือบางครั้งก็เลี้ยงให้บริษัทมีกำไรขาดทุนบางๆ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นด่ามาก แล้วเอาเวลามาหากินกับส่วนต่างราคาหุ้น เป็นพักๆ ท่านเห็นไหมบริษัทอย่างนี้ มีกี่บริษัทในตลาดหุ้นไทย

4. เพิ่มทุนเป็นนิจ

ต่อจากข้อที่แล้ว ในเมื่อกิจการขาดทุนเสมอๆ จากการดูดเงินของผู้บริหาร เมื่อผ่านไปนานเข้า เงินหมดบริษัท ส่วนทุนใกล้ติดลบ อาจโดนตลาดแขวน sp ย้ายเข้ากลุ่ม rehap ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว นั่นคือการเพิ่มทุน จะเอาเงินจากใครดี ควักกระเป๋าเอง หรือดูดเงินจากรายย่อย แน่นอนต้องเป็นอย่างหลัง (บางบริษัทมีเงื่อนใขให้รายย่อยซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิ์ได้ พอเม่าคนไหนใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเกินสิทธิ์ ผลออกมา ได้ครบทุกคนเลย แต่ผู้บริหารไม่ซื้อสักหุ้น โอละพ่อ.. ก็วัตถุประสงค์คือดูดเงินจากรายย่อย นี่นา

5. ปั่นหุ้น ต้องมีสตอรี่

ต่อเนื่องจากการเพิ่มทุน ก็ถ้าไม่มีสตอรี่ ที่ตื่นเต้น ใคร้..จะยอมเพิ่มทุน คราวนี้ก็โหมประโคมข่าวตามหนังสือพิมพ์ โปรเจคโน้นนี้ เราจะทำพลังงานทดแทน เราจะหันไปทำธุรกิจใหม่ ยอดขายเราจะโตปีละ 50% บลาาๆ รายย่อยพอให้ฟังเรื่องราวน่าตื่นเต้น บวกกับการชงข่าว ออกข่าวของผู้บริหาร เกิดอาการอิน ความโลภเริ่มทำงาน สติเริ่มหาย โลกสดใสเหลือเกิน จัดไปเพิ่มทุน แถมซื้อเกินสิทธ์

6. ฝนตกขี้หมูไหล คน...มาพบกัน

สังเกตไหม หุ้นปั่นมักจะมีชื่อ นามสกุล ซ้ำๆไปมาไม่กี่ตระกูล ไม่กี่คน โยงใยกันไหมหมด ชาติที่แล้วอาจมีกรรมอะไรกัน ชาตินี้เลยต้องมาพบกัน (เพื่อปั่นหุ้น) หุ้นบางตัว รายชื่อผู้ถือหุ้นจะซ้ำๆ กับหุ้นอีกตัว หรืออีกหลายตัว เป็นไปได้ไหมว่า คนเหล่านี้ อาโนเนะ ไร้เดียงสา ไม่รู้จักกันจริ๊งๆ เราพบกันโดยบังเอิญ หรือที่จริงเป็นการสบคบคิด รวมหัว เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน เคยเห็นไหม หุ้นบางตัวเพิ่มทุน ได้เงินทุน แทนที่จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ กลับเอาไปซื้อหุ้นอีกตัวที่ราคาแพงๆ (แล้วไอ้โม่งที่ขายหุ้นให้คือใคร) หุ้นบางตัว swap หุ้นวุ่นวายกันไปหมด แต่สุดท้ายพวกเดียวกันทั้งน้านนนน

7. หุ้นดี ดันไม่มีเจ้าของ

บ้าหรือเปล่า บอกว่าหุ้นตัวเองดีนักหนา แต่ไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้น ถือกันคนละไม่เกิน 5% ไหนบอกดีหนักหนา ทำไมไม่ถือหุ้น 50% ก็วัตถุประสงค์การถือหุ้นไม่ใช่ รอรับปันผล หรือส่วนแบ่งกำไร แต่คือการดูดและเอาส่วนต่างราคา ทำไมจะต้องไปถือหุ้นเยอะๆ ล่ะ ถือแค่ให้พอรวบอำนาจการบริหารก็พอ หุ้นปั่นแทบทุกตัวจะเป็นอย่างนี้ แต่หุ้นบางตัวถือกันคนละไม่เยอะจริง แต่ส่วนใหญ่ดันเป็น nominee คนกันเองทั้งนั้น อย่างนี้อาจไม่เข้าข่าย

8. ลูกรักของ กลต. ตลท.

เมื่อทางการเริ่มได้กลิ่นไม่ดี สิ่งแรกที่ทำคือให้บริษัทชี้แจง ซึ่งบริษัทก็จะตะแบงไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็แถจนผ่านละ เพราะที่ปรึกษาทางการเงินก็เตรียมข้อมูลมาแล้ว (รับเงินมาแล้วนี่) ตอนผ่านวาระประชุม ก็สบายเพราะผู้บริหารถือสัก 20% ก็ผ่านแล้ว รายย่อยที่มีเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ไม่มีพลัง เพราะส่วนใหญ่ไม่ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไม่รู้จักการพิทักษ์สิทธ์ตัวเองด้วยซ้ำ ทางการก็พยายามเตือนเท่าที่จะทำได้ บอกให้ไปประชุมผ่านวาระสำคัญ ใส่เทรดดิ้ง alert ใส่ turnover list ยังเอาไม่อยู่

9. ไม่ครบองค์ประชุม

ในเมื่อเป็นบริษัทไม่มีเจ้าของ ถือหุ้นเป็นเบี้ยหัวแตก รวมกันได้แค่ 20-30% พอนัดประชุมก็มัก "ไม่ครบองค์ประชุม" ต้องนัดใหม่ ซึ่งครั้งที่ 2 มักจะประชุมได้ เพราะใช้คนละเกณฑ์ วาระไหนที่น่าสงสัย ก็มักจะผ่านในการประชุมครั้งที่ 2 นี่เอง หุ้นตัวไหนที่ไม่ครบองค์ประชุม ต้องระวัง

10. ราคาที่หวือหวา

เป็นหุ้นปั่น ราคาต้องหวือหวา เพราะนี่คือเชื้อไฟอย่างดีเพื่อล่อ "แมงเม่า" ให้มาติดกับ ไฟหน้าจอหุ้นปั่นจะกระพริบตลอดเวลา เปรียบเสมือนไฟจากกองไฟที่ล่อแมงเม่า เม่าหลายคนแม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหุ้นปั่น แต่ overconfidence bias มักคิดว่าตัวเองเจ๋งจะ "หนีทัน" ดันลืมไปว่า ถ้าจ้าวมือไม่เก่งจริง โดนเม่ากิน จะเป็นจ้าวมือได้อย่างไร ราคาหุ้นที่ขึ้นพร้อมบิดหนาๆ อย่าเพิ่งชะล่าใจว่ามีคนจะซื้อเยอะ เผลอเมื่อไหร่บิดหายทันที พร้อมกันห้าช่อง เหลือแต่บิดรายย่อย แล้วโยนโครมซ้าย ยัดหุ้นใส่มือเม่า offer ที่หนาๆ โดนเคาะ อย่าคิดว่าแรงซื้อจริง อาจเป็นของจ้าวมือหรือเครือขายซื้อหุ้นตัวเอง เพื่อทำเสมือนมีคนสนใจซื้อหุ้นเยอะ ในหุ้นปั่น อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น

11. เราจะ turnaround

เราเปลี่ยนชื่อบริษัท เราเปลี่ยนกรรมการ เราจะเปลี่ยนธุรกิจ เราจะเทินอราวด์ ถ้าธุรกิจมันเปลี่ยนกันง่ายๆก็ดีซิ หุ้นหลายตัวเอาให้ได้โครงการไว้ก่อน (ไว้หลอกนักลงทุนให้เพิ่มทุน) พอทำจริงๆ ขาดทุนบักโกรก จำบริษัททำป้ายโฆษณารถเมย์ได้ไหม เป็นตัวอย่างสูตรสำเร็จของการปั่นหุ้น สตอรี่เทินอราวด์ เอาไว้หลอกวีไอที่ฟังก็ชักเคลิ้ม

12. ขุดผีจากหลุม

บางครั้งลงทุนแม้กระทั่งขุดผีจากหลุม วิธีการก็ไปซื้อบริษัทเน่าๆที่อยู่ใน rehap นำมาปัดฝุ่น ใส่ธุรกิจใหม่ที่ดาดๆ พอผลประกอบการผ่านเกณฑ์ ก็ออกจากหลุม ปั่นราคาขึ้นไปเยอะ นัยว่าธุรกิจพื้นตัวแข็งแกร่งแล้ว ระหว่างก็รินขายตลอด จำบริษัท ภาพทางขวางของเอเชีย ได้ไหม นี่ก็เห็นบริษัทก่อสร้างอีก บริษัที่ผู้บริหารโดนคดียักยอก สุดท้ายต้องตัดขายหุ้นให้พวกขุดผี น่าแปลกว่าคนที่ไปขุดผี ดันเป็นกลุ่มเดิมๆ อีกแล้ว บังเอิญจริง ๆๆ

13. พื้นฐานวันนี้ ราคาชาติหน้า

เป็นหุ้นที่พอจะมีพื้นฐานบ้าง เป็นหุ้นที่อาจจะ turnaround ได้จริง จากขาดทุนซ้ำซาก มีกำไรนิดหน่อย แต่ราคาหุ้นโดนกระชากไป สะท้อนกำไรหลายๆปีข้างหน้าแล้ว หุ้นโรงไฟฟ้าเอย หุ้นลม หุ้นอาทิตย์

14. หุ้นปั่น วีไอ

บริษัทมีโปรเจคมากมาย เป็นโปรเจคจริง แต่ใช้เงินเยอะจังเลย จะหาเงินจากไหนดี เอ่อ...ได้ข่าวนักลงทุนวีไอรวยกันนักใช่ไหม เอางี้ ไปติดต่อให้มา company visit บริษัทเราเดี่ยวนี้ !! ให้ตัวเลขกำไรไปเลย อีก 5 ปีข้างหน้า เราจะกำไรเท่าไหร่ อัดแต่ข่าวดีๆ เอาให้เว่อร์ ๆหน่อย วีไอชอบ พอวีไอไล่ซื้อ ราคาดี เราก็ทยอยเพิ่มทุนไปเรื่อยๆ อย่าให้มาก เดี๋ยวแตกตื่น เท่านี้เราก็ได้เงินทุนมาใช้ เสียสัดส่วนหุ้นไม่เท่าไหร่ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม (พอเพิ่มทุนเสร็จ ก็ไม่ต้องให้ข่าวดีแล้วนะ)

15. หุ้นปั่นไอพีโอ

หุ้นเก่าเป็นสนิม หุ้นใหม่หน้าตาจุ๋มจิ่ม นักลงทุนชอบของใหม่ บิ้วให้เยอะๆ ออกสื่อ road show ขายหุ้นให้แพงที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของเดิม (ถ้าขายได้ถูกๆ ก็ไม่ต้องเข้าตลาดดีกว่า) หุ้นเก่าๆ พีอี 10 เท่าแพง หุ้นใหม่ๆพีอี 30 เท่าบอกถูก ยังไม่พอ เทรดวันแรกบิ้วไปเลย ข่าวดีอัดเข้าไป ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ให้ข่าวเยอะๆ ยังขึ้นได้อีก ทีอีตันยังขึ้นเยอะได้เลย นี่กองทุนมาร์คก็เข้ามาซื้ออีก บิ้วไป ขายไอพีโอว่าแพงแล้ว เข้าตลาดยังแพงได้อีกกกก นักลงทุนไทย สุดยอด (ดอยอีกแล้ว  )..

16. ปันผลไม่เคยเห็น

จะเห็นได้ไง มีแต่การดูดเงิน (เพิ่มทุน) ไม่มีหน้าที่แจกเงิน (ปันผล) ส่วนใหญ่ขาดทุนซ้ำซาก ปันผลไม่ได้อยู่แล้ว แต่บางตัวมีกำไร ทำไมไม่จ่าย ก็จะแจกเงินให้รายย่อยทำไมล่ะ เราเข้ามาดูดเงินอย่างเดียว เงินอยู่ในบริษัท เดี๋ยวเราก็ดูดออกได้ แบ่งให้รายย่อยทำไม บางบริษัทต้องตุนเงินสดไว้ทำธุรกิจ ปันผลไม่ได้ เพราะแบงค์รู้ทัน ไม่ยอมปล่อยกู้ บริษัทปั่นหุ้น

17. อ๊อฟเดส์ไม่เคยโผล่

จะโผล่มาได้ไง มีแต่แผลทั้งนั้น มาให้นักลงทุนลากใส้หรือ วัวสันหลังหวะ คนทำผิด ย่อมไม่กล้าสู้หน้าคน กลัวโดนซักมาก เดี๋ยวจับได้ไล่ทัน ผิดกับทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟ มีหุ้นปั่นตัวไหน กล้ามาอ๊อฟเดส์บ้าง มีแต่ชอบออกหนังสือพิมพ์ปั่นหุ้น

18. สำเร็จกิจ ถีบหัวส่ง

การเพิ่มทุนเป็นเป็นกระบวนการที่สำคัญมากๆ ของการปั่นหุ้น เป็นการ "ดูดเงิน" ที่ถูกกฎหมาย อยู่ๆ จะเพิ่มทุน ใคร้รรจะมาซื้อหุ้น วิธีที่ได้ผลและทุกบริษัททำคือ ทำราคา+อัดสตอรี่ จ้างสปอนเซอร์มาทำราคา กระชากขึ้นไป พอราคาขึ้น ก็ถึงตาของผู้บริหารให้ข่าว สอดรับเป็นปี่เป็นขลุ่ย เราจะทำโปรเจคโน้นนี้ (ใช้เงินทั้งนั้นแหละ) ราคาที่ขึ้นไปเรื่อยๆ บวกสตอรี่ที่สดใส ฟ้าสีทอง ผ่องอำไพอยู่เบื้องหน้า ถึงจุดไครแม็ก ประกาศเพิ่มทุน (จะเอาไปทำโปรเจคที่ว่าไว้) เพิ่มทุนที่ราคาดอย = ดูดเงินได้สูงสุด พอเพิ่มทุนสำเร็จกิจ ก็แยกทาง ตัวใครตัวมัน สปอนเซอร์หมดหน้าที่ ราคาหุ้นจะค่อยๆไหลลง แม้แต่บริษัทที่พอมีพื้นฐานบ้างก็ทำอย่างนี้ ยังจำกลุ่มสื่อที่หันไปทำธุรกิจดิจิตอลได้ไหม pattern เหมือนที่เล่าเป๊ะๆหรือเปล่า

ใช้คำพูดแรงไปนิด พาดพิงใคร หรือหุ้นใครไปบ้างก็อภัยนะครับ จิ้งจกทักยังฟัง ก็ฟังผมบ่นบ้างละกัน แต่อยากย้ำนะครับ ไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่มีคุณสมบัติเหล่านี้แล้วจะเป็นหุ้นปั่น

cr. โจ้ ลูกอีสาน

วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ข้อคิดจากการลงทุนในหุ้นมา 14 ปีคัดลอกเพิ่นมา

ข้อคิดจากการลงทุนในหุ้นมา 14 ปี
1. พอร์ตเล็กมีโอกาสทำกำไรได้สูงกว่าพอร์ตใหญ่
2. ไม่ว่าจะ VI หรือเทคนิก จะเล่นสั้นหรือยาว ถ้าศึกษารู้จริงล้วนสามารถทำกำไรสูงๆจนเป็นอิสระทางการเงินได้ทั้งนั้น
3. ถ้าต้องการจะเป็นอิสระทางเวลา และสบายใจไม่ต้องเครียดทุกๆวัน ควรลงทุนระยะยาว มองที่มูลค่ากิจการไม่ใช่ราคา
4. การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) กับการถือหุ้นยาวไม่เหมือนกัน การติดดอยไม่เรียกว่าการลงทุนแบบ VI ถ้าพื้นฐานแย่ลงก็ไม่ควรกอดหุ้นไว้
5. อดีตที่สวยหรูของบริษัท ไม่ได้รับประกันว่าอนาคตจะต้องดีด้วย การติดตามการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจเสมอๆเป็นสิ่งจำเป็น
6. ไม่มีใครรู้จริง ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ราคาหุ้น สภาวะตลาด หรือแม้แต่ผลประกอบการได้อย่างแม่นยำทุกครั้งไป สิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ การเผื่อใจวางแผนเตรียมรับมือกรณีฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็น
7. หุ้นขึ้นแรงๆมีทุกวัน อย่าไปไล่ซื้อ เรารวยได้โดยไม่จำเป็นต้องไปมีส่วนร่วมในหุ้นทุกตัวที่ขึ้นแรง
8. ไม่มีงานสัมนาไหนที่จะเปลี่ยนคนให้ลงทุนเก่งขึ้นได้จริงแบบทันทีทันใด ดังนั้นอย่าเสียเงินแพงๆไปอบรมสัมนาหุ้นเพื่อหวังรวยเร็ว
9. การลงทุนคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งร้อยเมตร ไม่มี Short cut ไม่มีวิธีรวยเร็ว มีแต่ต้องทุ่มเทศึกษา สะสมความรู้และประสบการณ์เป็นเวลาหลายๆปี ผลตอบแทนที่ได้จะแปรผันตามความขยันทุ่มเทที่เราใส่ลงไป
10. การแลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนนักลงทุนจะช่วยให้มีโอกาสพบบริษัทที่น่าสนใจมากขึ้น ดังนั้นควรจะหาโอกาสไปเยี่ยมชมกิจการ หรือสัมนาฟรีบ้าง เพื่อเพิ่มความรู้และทำความรู้จักเพื่อนนักลงทุนใหม่ๆ
11. ภาพใหญ่ของธุรกิจสำคัญกว่าภาพเล็ก การเข้าไปจ้องมองระยะใกล้ๆในภาพเล็กเพียงอย่างเดียวอาจจะทำให้มองไม่เห็นภัยคุกคามที่กำลังจะมาถึง ตรงกันข้ามถ้ามองภาพใหญ่ออก ถึงภาพเล็กจะมองผิดไปบ้างก็ไม่ได้เสียหายนัก
12. ซื้อหุ้นคือซื้ออนาคต ถ้ามองอนาคตไม่ออกก็ไม่ควรซื้อ
13. หุ้นขนาดใหญ่ไม่ได้แปลว่าเป็นหุ้นพื้นฐานดี
14 . หุ้นราคาต่ำบาทไม่ได้แปลว่าถูกกว่าหุ้นราคาหลักพัน ความถูกความแพงต้องเทียบราคาหุ้นกับมูลค่ากิจการที่ควรเป็น
15. จะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนดีต้องลงทุนในหุ้นเติบโต การลงทุนในหุ้นที่เน้นปันผลแต่กำไรในอนาคตไม่เติบโตจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
16. หุ้นของกิจการที่ดี แข็งแกร่ง และเติบโตสูงๆ อาจจะให้ผลตอบแทนที่แย่ได้หากซื้อมาด้วยราคาที่แพง
17. ถึงแม้จะถือหุ้นครั้งละไม่กี่เดือน แต่ก็ต้องมองภาพอนาคต 2-3 ปีข้างหน้าให้ออก
18. อ่านบทวิเคราะห์ ไม่ต้องสนใจราคาเป้าหมาย ส่วนใหญ่เชื่อไม่ได้ ให้เลือกดูเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท และนำมาประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสมเอง
19. ยิ่งโลภยิ่งจน
20. "กล้าเมื่อคนส่วนใหญ่กลัว และกลัวเมื่อคนส่วนใหญ่กล้า" พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะคำว่า "ส่วนใหญ่" นั้นวัดยาก

ฝากไว้ด้วยนะจ้า😁😁
เครดิต T-DED

วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ประโยชน์ของงบดุล

#ประโยชน์ของงบดุล ตอน #ลูกหนี้การค้า
.
ลูกหนี้การค้า เกิดจากการขายเชื่อคือการให้สินค้ากับไปก่อน และจะเรียกเก็บเงินค่าสินค้านั้นในอนาคต ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายการให้เครดิตของแต่ละบริษัท โดยรายการลูกหนี้การค้าที่แสดงในงบดุลนั้นที่เราเห็นกันได้หักรายการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ( หนี้ที่บริษัทคาดการณ์ว่าจะไม่สามารถเก็บได้ในอนาคต ซึ่งเป็นการประมาณการขึ้นส่วนใหญ่ใช้ประสบการณ์ในอดีตประกอบกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่างบการเงินที่เราอ่านนั้นมีค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญมากแค่ไหน ให้เราเข้าไปดูหมายเหตุงบการเงินได้เลยครับ )
.
#ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ส่วนใหญ่มักจะประมาณการจากยอดขาย ไม่ก็ประมาณจากยอดลูกหนี้การค้ารวม
.
ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่บริษัทคาดการณ์ไว้ จะนำมาหักลบกับ หนี้สงสัยจะสูญที่เกิดขึ้นจริง ถ้าหนี้ที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่า บริษัทต้องตั้งสำรองเพิ่มและบริษัทจะมีค่าจ่ายเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย กลับกันถ้าหนี้สูญที่ออกมาตอนสิ้นงวด ต่ำกว่าค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจะกลับรายการที่ตั้งสำรองไว้กลับมาเป็นบวก นี้เป็นผลให้บริษัทมีเงินสดมากขึ้น เพราะบริษัทสำรองเงินนั้นมากเกินไปนั้นเอง ( จะแสดงอยู่ใน CFO )
.
สรุป ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ-สงสัยแต่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง ดังนั้นเป็นค่าประมาณการขึ้นมาแต่มีกับสินทรัพย์ทำให้สินทรัพย์โดยรวมลดลง แต่หนี้สูญคือเกิดขึ้นแล้วบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน  (มีผลต่อกำไรของบริษัท )
.
#อธิบายเสริมแยกธุรกิจ : ลูกหนี้การค้าแต่ละธุรกิจ
.
#ถ้าเป็นธุรกิจค้าปลีก สินค้ามักราคาถูก และเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต การขายมักจะขายเป็นเงินสด ดังนั้นลูกหนี้การค้าจะน้อย เช่น CPALL,HMPRO,ROBINS,BEATY
.
#ถ้าเป็นธุรกิจค้าส่ง ขายยกลัง ยกแพ็ค มักจะมีลูกหนี้การค้าเยอะเพราะลูกค้าจะสั่งที่ละมากๆ มักจะขายให้กับยี่ปั้ว ซาปั้ว เช่น CPF,TCCC,MEGA,ICHI,TKN
.
#ถ้าเป็นธุรกิจในการให้บริการ เช่น โรงพยาบาล โรงแรม จะมีลูกหนี้การค้าน้อยมาก เนื่องจากสินค้าหลักคือการให้บริการ
เช่น BH,BDMS,ERW,CENTEL ยกเว้นธุรกิจธนาคารเป็นธุรกิจในการให้บริการเหมือนกันแต่ ลูกหนี้ของธนาคารคือ ผู้ต้องการใช้เงินหรือผู้กู้นั้นเอง ดังนั้นธุรกิจประเภทธนาคารหรือสถานบันการเงินจะมีลูกหนี้มากเป็นพิเศษ แล้วแต่ cycle ธุรกิจ เศรษฐกิจดีคนกู้มาก เศรษฐกิจแย่คนก็กู้น้อย และขึ้นกับนโยบายภาครัฐเป็นสำคัญ การตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของกิจการถือว่ามีความสำคัญมากเพราะมีผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ เนื่องจากธุรกิจหลักที่มาซึ่งรายได้คือการปล่อยกู้ อย่างที่เราเห็นกันมักจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองระหว่างการมากขึ้น จากปัญหาของบริษัทที่กู้เงินมีปัญหา เพราะอาจจะไม่สามารถเก็บหนี้ได้นั้นเอง และมีผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรในงวดบัญชีนั้น
.
#ถ้าเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หรือก่อสร้างลูกหนี้ก็จะน้อยหรือถ้ามีมักจะเป็นลูกหนี้การค้าของบริษัทในเครือ เนื่องจากสินค้าที่ขายมีราคาสูง และในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะใช้หลักบัญชีรับรู้รายได้ทั้งจำนวน ซึ่งไว้จะอธิบายต่อนะครับ มันจะยาวเกินไป จบแค่สินทรัพย์หนี้สินไปก่อน เพราะจะมีเรื่องของ Presale และ Backlog เข้ามาเกี่ยวข้อง
.
#ถ้าเป็นธุรกิจก่อสร้าง ส่วนใหญ่มักจะเป็น B2G ไม่ก็ B2B รับงานเป็นช่วงจากบริษัทใหญ่อีกต่อ แบบนี้ก็มักจะไม่มีลูกหนี้การค้าหรือมีน้อย เพราะไม่ได้ขายสินค้า แต่เป็นการก่อสร้างนั้นเอง
หลักการสำคัญในการวิเคราะห์ลูกหนี้คือ เราต้องรู้ก่อนว่าลูกค้าของบริษัทเป็นใคร เป็นธุรกิจ ( B2B ) หรือเป็นผู้บริโภคหน่วยสุดท้าย ( B2C ) หรืออาจจะเป็นรัฐบาลก็ได้ในกรณีของธุรกิจก่อสร้าง ( B2G )  แล้วเจอกันใหม่ครับ

#ถ้าเป็นธุรกิจพลังงาน ส่วนใหญ่จะเป็น B2B ไม่ก็ B2G ลูกหนี้จะมากหรือจะน้อยนั้นขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ เพราะถ้าเศรษฐกิจธุรกิจต่างๆย่อมต้องการเพิ่มกำลังการผลิต ความต้องการใช้พลังงานก็มากตามไปด้วย ดังนั้นลูกหนี้ก็เพิ่มตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ลูกหนี้อยู่ในระดับกลางไม่มากไม่น้อย ถ้ายอดขายดี แต่ลูกหนี้น้อย ถือว่าอำนาจในการต่อรองของบริษัทนั้นสูง อาจจะเป็นเพราะมีเทคโนโลยีพิเศษที่แตกต่างจากคู่แข่ง แต่ในไทยไม่มีนะครับ คู่แข่งพอๆกันหมดสำหรับน้ำมัน แต่ถ้าเป็นพลังงานทดแทนการแข่งขันยังน้อย ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนภาครัฐเป็นสำคัญ
.
#หลักการดูงบการเงินในส่วนของหนี้สินของผมคือ จะให้ความสำคัญก็ต่อเมื่อบริษัทนั้นมีรายการลูกหนี้การค้าที่มีนัยสำคัญต่องบการเงิน จะเข้าไปดูรายละเอียดในหมายเหตุงบการเงินว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่ของกิจการ เป็นลูกหนี้เก่า หรือ ลูกหนี้ใหม่อย่างไร นโยบายในการให้เครดิตเหมาะสมและทำได้จริงไหม การตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้เป็นไปตามปกติหรือไม่ และนำไปเปรียบเทียบหนี้สูญที่เกิดขึ้นจริง ยิ่งบริษัทใช้เวลาในการเก็บหนี้นานยิ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องของสภาพคล่องได้ง่าย เป็นเพราะบริษัทอาจจะขายสินค้าได้จริง แต่กว่าจะได้เงินนาน จึงทำให้ต้องก่อภาระผูกพันธ์ในระยะสั้น ซึ่งถ้าหาได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าหาไม่ได้มีปัญหาแน่นอน
.
#Financialsecrets #ความลับทางการเงินที่คุณต้องรู้
.
ความลับทางการเงิน - FinancialSecrets

วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560

จิตของนักเล่นหุ้น

1. สำหรับการเล่นหุ้นแล้ว อีคิว สำคัญกว่า ไอคิว

2.  การมีหุ้นก็เหมือนการมีลูก คุณภาพ สำคัญกว่า ปริมาณ

3. ยอดมนุษย์ไวกิ้ง เกิดขึ้นได้เพราะท้องทะเลที่ปั่นป่วนฉันใด  ยอดมนุษย์นักลงทุน จะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะตลาดที่ปั่นป่วนฉันนั้น

4. คนคิดลบจะลุ้นให้หุ้นตก และเมื่อตกจริงๆเขาก็จะไม่กล้าซื้ออยู่ดีเพราะคิดลบ ส่วนคนคิดบวกจะลุ้นว่าหุ้นขึ้น และเมื่อขึ้นจริงๆเขาจะซื้อเพิ่มเพราะมองบวก

5. คนที่ถือคติว่า “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน”  ลึกๆแล้วความรู้สึกในใจก็จะบอกว่า “ไม่ขาย ไม่กำไร” เช่นเดียวกัน  และคนที่คิดแบบนี้บทสรุปสุดท้ายจะจบลงที่  “ติดดอย”  และ “ขายหมู”

6. ในช่วงวัยต้นของชีวิต จงยอมให้เงินใช้เราทำงาน  แต่ในช่วงหลังของชีวิตจงใช้เงินทำงานให้เรา

7. ถ้ายังมีเงินเก็บไม่ถึงหนึ่งล้านบาท อย่าเพิ่งคิดเรื่องจะให้เงินทำงานแทน

8. คนที่เชื่อว่ามีโอกาสในวิกฤติ ก็จะพยายามมองหาจนเจอ แต่ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เห็น

9. กรุงโรม ไม่ได้สร้างภายในวันเดียว แต่สามารถทำลายได้ภายในวันเดียว ตลาดหุ้นก็เช่นกัน

10.  เราต้องเป็นคนเล่นหุ้น อย่าปล่อยให้หุ้นเล่นเรา

11. การซื้อเฉลี่ยขาลง จะมีความทุกข์ทรมานมากกว่า การซื้อเฉลี่ยขาขึ้น

12. ความทุกข์ส่วนหนึ่งของคนเล่นหุ้น เกิดจากการไปนึกเสียดายถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว

13. การ Cut loss  เปรียบเสมือนการตัดหางจิ้งจก เพราะเงินสามารถงอกขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา

14. การ Cut loss คล้ายการวิ่งหนีสึนามิ แม้วิ่งเก้อสี่ครั้ง แต่ครั้งที่ห้าเกิดขึ้นจริง ทำให้รอดตาย

15. รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง แต่นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่มุ่งไปที่รู้เขา โดยละเลยการรู้เรา

16. แม้ย้อนเวลาได้ แต่จิตยังไม่เปลี่ยน การตัดสินใจก็จะเหมือนเดิม

17. สิ่งที่ต้องแก้ไขคือจิต ไม่ใช่การประดิษฐ์เครื่องย้อนเวลา

18. ไม่ต้องสนใจว่าหุ้นมาจากราคาไหน แต่จงสนใจว่ามันจะไปที่ราคาไหนมากกว่า

19. จากการวิจัยพบว่า เวลาขาดทุนในหุ้น ผู้หญิงจะเจ็บปวดมากกว่าผู้ชายอย่างน้อย 30%

20.  การซื้อหุ้นถูกตัว ไม่สำคัญเท่าการซื้อหุ้นถูกจังหวะ

21. ถ้าได้เงินมาแบบไม่ใช้สมอง ในที่สุดก็จะสูญเสียมันไปแบบไร้สมอง

22. มีเงินแต่ไม่มีเวลา ดีกว่ามีเวลาแต่ไม่มีเงิน

23. อิสรภาพทางจิตใจ ไม่ขึ้นกับอิสรภาพทางการเงิน

24. แนวต้านที่แข็งแกร่ง ถ้าทะลุผ่านไปได้ มันจะกลับกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง

25. ความสุขที่ได้จาก ศิลปะ ดนตรี และ กีฬา คือความสุขที่ไม่ต้องใช้เงินทองอะไรมากมาย

26. เมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง ตัวเลขในสมุดบัญชีก็เป็นเพียงภาพมายา

27. มรดกที่ดีที่สุดสำหรับลูกหลาน คือมรดกทางปัญญาและอารมณ์

28. แทงหวยหลายๆตัวโอกาสถูกมากขึ้น แต่แทงหุ้นหลายๆตัวโอกาสผิดมากขึ้น

29. จำนวนหุ้นในพอร์ต 5 ตัวเหมาะสมที่สุด

30. ซื้อถูกขายแพง ไม่บาป ในทางกลับกันซื้อแพงขายถูก ก็ไม่ได้บุญ

31. ยิ่งดีใจมากเท่าไรตอนได้  ก็จะทุกข์มากเท่านั้นตอนเสีย

32. การเล่นหุ้น คือการต่อสู้กับใจของตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น

33. ความโลภ คือเมล็ดพันธ์ที่นอนเนื่องในขันธสันดานของมนุษย์ทุกคน ตลาดหุ้นคือปุ๋ยชั้นดี

34. บางคนชอบเสียดายตอนหุ้นขึ้น และเสียใจตอนหุ้นตก แล้วอย่างนี้จะหาความสุขตอนไหน

35. อย่าเอาอารมณ์ของตลาดเข้ามาเป็นอารมณ์ของตัวเอง

36. ถ้าเกิดมาเพื่อเป็นมวยแบบเขาทรายแล้วไปเลียนแบบการชกของสมรักษ์ ก็มีแต่แพ้

37. อิสรภาพทางการเงิน เริ่มต้นที่เงินสิบล้านบาท

38. คนที่รู้เรื่องดาบอย่างลึกซึ้ง ไม่จำเป็นต้องฟันดาบเก่งเสมอไป

39. ไม่มีใครเขามาสงสารนักมวยที่ถูกน็อก เช่นเดียวกับไม่สงสารนักเล่นหุ้นที่ขาดทุน

40. คนที่เคยลิ้มรสชาติของกำไรซึ่งได้มาง่ายๆ ยากที่จะเลิกเล่นหุ้น

41. นักเล่นหุ้นทุกคนควรมีเซอร์กิตเบรกเกอร์ของตัวเอง

42. สติคือการรู้ตัวก่อนที่จะซื้อและรู้ถึงผลที่จะตามมา สัมปชัญญะคือความรู้ตัวขณะกำลังคลิกซื้อ

43. สติทำให้เฉลียว  สัมปชัญญะทำให้ฉลาด

44.ตลาดหุ้น มีโอกาสใหม่ๆเสมอ วันพระไม่ได้มีหนเดียว

45. จงตระหนักในวันที่ตลาดตระหนก   จงตื่นตัวในวันที่ตลาดตื่นกลัว

46.  ต้องวิเคราะห์มากกว่าวิจารณ์ และ แก้ไขมากกว่าแก้ตัว

47. ความคิดเป็นเรื่องของสมอง ความรู้สึกเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ

48. คนที่มีบุญเก่า แค่ซื้อหุ้นตามความรู้สึก ก็รวยได้

49. จงเล่นหุ้นอย่างเหยี่ยว ที่สายตากว้างไกลมององค์รวมก่อนจะโฉบลงล่าเหยื่อ

50. การสวนทิศทางความรู้สึก ทำได้ยากกว่าความคิด

51.ร้อยละ 70 ของคนรวยจากทั่วโลก ไม่ได้รวยเพราะมรดก

52.คนรวยจะมีรายได้มากกว่าหนึ่งทางเสมอ

53. รายได้มักจะมาจากสามทาง คือรายได้จากเงินเดือน รายได้จากพรสวรรค์ และรายได้จากดอกผล

54.คนที่เคยไปดิสนี่ย์แลนด์แล้ว จะไม่มีความสุขจากการไปดรีมเวิร์ลอีก

55.ธรรมชาติมอบความสุขให้อย่างยุติธรรมตามกำลังของแต่ละคน

56.ผึ้งก็สามารถหาความสุขแบบผึ้งได้ โดยที่ไม่ต้องไปอิจฉาพญาอินทรี

57. พระภิกษุ มีทั้งอิสรภาพทางการเงิน และอิสรภาพทางใจ

58. คนที่ชอบคิดย้อนอดีต จะไม่มีเวลาสำหรับการคิดถึงอนาคต

59. การทำบุญคือการลงทุนข้ามชาติ

60. ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง โชคเกิดจากการเสวยบุญเก่า

61.    วิกฤติคือโอกาส  ตอนประท้วงปิดสนามบิน AOT ลงไปที่ 16 บาท
                         ตอนน้ำท่วมใหญ่ KCE ลงไป 4 บาท
                         ตอนมีข่าวรัฐจะซื้อดาวเทียมคืน Thcom ลงไป 5 บาท  ฯลฯ

62.    สอนให้ลูกรู้จักลงทุน ดีกว่าลงทุนไว้ให้ลูก

63.    ระหว่างบำเหน็จที่ได้ทันที 600,000 กับบำนาญที่ได้ตลอดชีวิตเดือนละ 6,000 ควรเลือกแบบไหน (เฉลยอยู่ในหนังสือจิตของนักเล่นหุ้น)

64.    บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์มักจะช้ากว่าตลาดก้าวหนึ่งเสมอ

65.    เงินเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ แต่เป็นเจ้านายที่โหดร้าย

66.    การพยากรณ์หุ้น มีความแม่นยำน้อยกว่าการพยากรณ์อากาศ

67.    ในตลาดหุ้น เหตุผลมักแพ้อารมณ์เสมอ

68.    ซื้อหุ้น New High ดีกว่าซื้อหุ้น New Low ตัดขายหุ้น New Low ดีกว่าตัดขายหุ้น New High

69.    นักเล่นหุ้นที่ดีต้องเป็นได้ทั้งบ็อกเซอร์ตอนหุ้นลง และไฟท์เตอร์ตอนหุ้นขึ้น

70.    เล่นกีฬายังมีการขอเวลานอกตอนเพลี่ยงพล้ำ เล่นหุ้นก็ต้องรู้จักขอเวลานอกให้ตัวเอง

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เคล็ดลับในการเทรดDW

DW พื้นฐาน
เคล็ดลับในการเทรดDW มีเคล็ดลับอะไรบ้าง!
ถ้าเราคิดจะเล่นDW เราต้องหาหุ้นแม่ให้ได้ก่อน เราต้องวิเคราะห์หุ้นแม่ตัวนั้นๆก่อนที่เราจะเล่นDW
ยกตัวอย่าง=หุ้นIVL11C1808A
                 =หุ้นIVL11P1808A
IVL=ชื่อหุ้นอ้างอิง
11 =โบกเกอร์ของหลักทรัพย์(มีหลายค่าย)
C  =CAII(คลอ)ซื้อเมื่อคาดว่าหุ้นแม่จะปรับตัว  ขึ้น
P = PUT(พุท)ซื้อเมื่อคาดว่าหุ้นแม่จะปรับตัวลง
18 =หมดอายุปี2018
08A=หมดอายุเดือนที่8ของปี
DW แตกต่างจากวอแรนต์ทั่วไป อย่างวอแรนต์ทั่วไปอายุค่อนข้างยาว
แต่DWอายุค่อนข้างสั้นกว่า ปกติอายุDW3-6เดือน
ต่างจากวอแรนต์ทั่วไปยังงัย!!
ปกติDWอายุจะสั้น  DWมีมาค์เก็ตวอคเกอร์
มีมาค์เกตวอคเกอร์ คือ ทำราคาให้ตรงตามตัวหุ้นแม่
อย่างถ้าวอแรนต์บางทีหุ้นแม่ขึ้น ตัวลูกอาจจะไม่ขึ้น
หรือว่าบางทีหุ้นแม่อยู่เฉยๆ ตัวลูกวิ่งขึ้นวิ่งลงตลอดเวลา ซึ่งไม่มีมาค์เก็ตวอคเกอร์ วอแรนต์ขึ้นอยู่ดีมานซัพพลายของวอแรนต์ตัวนั้นๆเท่านั้น เพราะฉะนั้นคนที่เข้ามาเก็งกำไรตัววอแรนต์ สามารถเก็งกำไรได้แบบตามดีมานฯ คนเล่นกันเยอะ แห่ซื้อกันเข้าไป ราคากระฉูด
แต่ถ้าตัวDWมันจะอ้างอิงกับตัวหุ้นแม่ ถ้าแม่ไม่ขึ้น DWก็จะไม่ขึ้น!! ถ้าแม่ขึ้น DWก็จะขึ้น!!
คือDWมีมาค์เก็ตวอคเกอร์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเลย บางคนกลัว น่ากลัวมาก เสี่ยง แต่กล้าเล่นหุ้นเล็กๆ กล้าเล่นวอแรนต์(ข้อมูลจากหลักทรัพยKGI)
จบ1โพสต์ตี2ขอนอนก่อนง่วงนอนแล้ว ยังไม่ได้โพสต์เรื่องเลือกค่ายไหนเล่นดี เลือกผิดค่ายมีหนาวน่ะครับ😴😴😪😪

DW พื้นฐาน (โพสต์สุดท้าย)
•ความเสี่ยงด้านราคาอ้างอิง
ความเสี่ยงปกติคือ สมมุติเราซื้อบนกระดานหุ้นทั่วไป ซื้อหุ้นแม่ปตท. เกิดมันไม่ขึ้นตามที่เราตั้งใจ อันนี้เรียกว่าความเสี่ยงปกติ
ความเสี่ยงของDWหลักๆคือราคาอ้างอิง
•ความเสี่ยงด้านมูลค่าทางเวลา
อันนี้ทุกคนให้ความสำคัญนิดนึง เพราะว่าบางที เราซื้อเข้าไป เกิดหุ้นตัวแม่ไม่ไปไหน ราคาDWจะลงมา
สมมุติ วันนี้เราซื้อไว้หุ้นปตท.ราคาอยู่ที่240บาทซื้อDWไป1บาท เกิดผ่านไปอาทิตย์นึง
ปตท.ยังราคา240บาทอยู่ แต่DWอาจจะเหลือ99สต.
เหลือ98สต. อันนี้เค้าเรียกว่ามูลค่าทางเวลา หรือบางทีถ้าเราถือหมดอายุ บางทีDWอาจเป็นศูนย์บ. ดูน่ากลัวมั้ยครับ พูดอย่างงี้อาจดูน่ากลัว แต่จริงๆแล้วเรามีเครื่องมือในการช่วยให้นักลงทุนสามารถจัดการกับตัวมูลค่าทางเวลาได้
•ความเสี่ยงสภาพคล่อง(เลือกค่าย)
ถ้าเราเทรดDWกับจ้าวที่คนไม่ค่อยเล่น เป็นจ้าวเล็กๆ ไม่ค่อยมีมูลค่าการซื้อขายกันเท่าไหร่ อาจจะน่ากลัว!!
แต่ถ้าเป็นจ้าวหลักๆ ตรงนี้ไม่น่ากลัว คนเล่นกันเยอะ
(ข้อมูลจากหลักทรัพย์KGI  (SkillLane.com)
ผมไม่อยากให้นักลงทุนหน้าใหม่และคนเก่าเล่นน่ะครับ
ถ้ายังเทรดหุ้นบนกระดานยังไม่เก่งนัก!! ยังเสียอยู่!!
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่อยากมีรายได้อย่างรวดเร็วได้100%ต่อปีหรือมากกว่านั้น ต้องยอมรับความเสี่ยงให้ได้ด้วย สมมุติว่าเราเล่นหุ้นตัวใหญ่ หุ้นแม่ขึ้น1ช่อง ลูกขยับขึ้น3ช่อง ถ้าแม่ขยับขึ้น10ช่อง ลูกขยับขึ้น30ช่อง แต่ในทางกลับกัน ถ้าแม่ลง10ช่อง ลูกก็ลง30ช่องเหมือนกัน การลงทุนมีความเสี่ยงควรศึกษาก่อนการลงทุน😎😎😴😴😪😪💞💗💞💗💘💟

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

EMA

ชุดเส้นค่าเฉลี่ย EMA ที่ใช้มี

10,25,50,75,200

EMA10/25

เส้นน้อยตัดเส้นมากขึ้นเป็นสัญญานซื้อระยะสั้น

เส้นน้อยตัดเส้นมากลงเป็นสัญญานขายระยะสั้น

EMA50/75

เส้นน้อยตัดเส้นมากขึ้นเป็นสัญญานซื้อระยะกลาง(Goldencross ระดับที่ 1)

เส้นน้อยตัดเส้นมากลงเป็นสัญญานขายระยะกลาง(Deadcross ระดับที่ 1)

EMA50/200

เส้นน้อยตัดเส้นมากขึ้นเป็นสัญญานซื้อระยะยาว(Goldencross ระดับที่ 2)

เส้นน้อยตัดเส้นมากลงเป็นสัญญานขายระยะยาว
(Deadcross ระดับที่ 2)

กรณีดูราคาปิด

EMA10-EMA25
หุ้นที่พักตัวในขาขึ้น มักจะอยู่ในกรอบไม่หลุด

EMA25
 ถ้าหลุดเป็นสัญญาน Warning ควรจะเริ่มขายหุ้นออกมา(ขาขึ้น/ขาลง ระยะสั้น)

EMA50
ตีความว่า ถ้าเหนือเส้นนี้ เป็นขาขึ้น ถ้าต่ำกว่าเส้นนี้เริ่มเป็นขาลง(ขาขึ้น/ขาลง ลงระยะกลาง 1)

EMA75
ถ้าถึงแนวรับนี้มีโอกาสเด้ง/ร่วง(ขาขึ้น/ขาลง ระยะกลาง 2)

-กรณีหุ้นลง ลงไปชน EMA75 แล้วมีโอกาสเด้งขึ้นไปแถวๆ EMA50
-กรณีหุ้นลง ถ้าลงไปแล้วไม่เด้ง แล้วหลุด EMA75 เตรียมใจลงแรงไปเจอกันที่ EMA200

-กรณีหุ้นขึ้น เริ่มขึ้นมาชน EMA75 แล้วมีโอกาสร่วงลงไปที่ EMA50

EMA200 แนวรับสุดท้าย(ขาขึ้น/ขาลง ระยะยาว)ถ้าหลุดแล้วไม่เด้งกลับมายืนเหนือ EMA200ได้ภายในระยะเวลาประมาณ 1 อาทิตย์ เตรียมทำใจลงแรง

วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

RSI

RSI > 66.66
= แรงซื้อมากกว่าแรงขายในอัตราส่วน 2:1

RSI > 55
= เทรนขาขึ้นเริ่มต้น

RSI >= 40
= อยูในช่วงพักตัว

RSI < 33.33
= แรงขายมากกว่าแรงซื้อในอัตราส่วน 2:1

------------------------------------------

RSI

เมื่อ RSI < 50 Momentum ของหุ้นตัวนั้นๆจะเริ่มเสีย

เมื่อ RSI < 33.33 ข่าวร้ายมักจะตามมาและจะเกิด Panic Sell

วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กฏธรรมชาติของหุ้นที่จะขึ้น

1)  หุ้นจะขึ้นเมื่อมีการซื้อ Offer ในราคาที่ผิดธรรมชาติ
   แนวคิด:  ทำไม อยู่ดีๆ ถึงมีคนยอมซื้อแพง ทั้งๆที่ สามารถซื้อถูกได้
   สาเหตุ :  เวลาคนจะสร้างราคา เขาจะต้องทำให้ราคาขึ้น ถ้าไม่ยอมซื้อขวา ราคาก็ไม่มีวันขึ้น

2) ในจังหวะหุ้นที่จะขึ้นจริง คนสร้างราคา เขาจะไม่ทำให้เราได้ซื้อง่ายๆ เพราะเราจะมักไม่เคยซื้อได้ทัน สำหรับราคาที่ดี
     แนวคิด:  ทำไม มีการรวบ  offer  ไม้ใหญ่ๆ ยกช่อง หรือ การรวบแล้ว เติม Bid โดยทันที
      สาเหตุ :  เวลาคนจะสร้างราคา ถ้าเมื่อเป็นจังหวะที่จะเล่นเร็ว เขาจะต้องทำให้ ราคาขึ้นเร็วที่สุดเพื่อให้ห่างจากทุนในการทำราคา เพราะ ถ้าเป็นเรา เราคงอยากให้ ไปไกลจากทุนเรามากที่สุด ในเวลาสั้น ก่อนมีใครจะมาทิ้งหุ้นใส่

3) เวลาหุ้นก่อนจะขึ้นเป็น trend ยาวๆ กราฟเทคนิค มันจะบอกว่า ให้ขายสะ

       แนวคิด :  ทำไม มีการสร้างกราฟเทคนิคให้ขายก่อนขึ้น
       สาเหตุ :  ของดีมักไม่มีใครอยากแบ่ง อยากได้ของให้อยู่ในมือมากที่สุด แล้วค่อยไปขายให้ได้ราคาสูง ในจำนวนที่พอใจ

4) เวลาหุ้นขึ้นแรง มักเปิดราคากระโดด

       แนวคิด : หุ้นที่ขึ้นแรงๆ มักราคาเปิดกระโดด ผ่าน ราคาที่ผิดธรรมชาติ อย่างแนวต้านที่ไม่เคยผ่าน
        สาเหตุ :  กฎการสร้างราคา คนสร้างราคา ต้องทำให้ ราคาขึ้นอย่างรวดเร็ว ป้องกันการขายหุ้นใส่ ถ้ายิ่งมีคนขายใส่มากเท่าไหร่ ภาระของคนทำราคา จะเหนื่อยมากเท่านั้น ในการจะทำราคาขึ้น เพราะ ต้นทุนจะสูงขึ้นไปด้วยโดยทันทีกับการรับของคนที่ขายใส่เพื่อทำราคาไม่ให้ลง

  กฎให้ท่องจำและฝึกฝน
         
             " อย่ากลัวหุ้นเปิดโดด อย่ากลัวการซื้อแบบหวดขวาที่ offer  เพราะ มันคือ กฎธรรมชาติ เวลาที่หุ้นจะขึ้น  แต่เพียงแค่เราจะควบคุมความเสี่ยงอย่างไรกับ การซื้อแบบพฤติกรรมหุ้นขึ้น

Cr โค้ชเหว่ง super trader republic

วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หุ้นยักษ์แห่งวอลสตรีท

 ผมมักถูกถามอยู่เนือง ๆ  ว่าทำไมไม่ไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐที่มีบริษัทที่โดดเด่นระดับโลกมากมายที่น่าจะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก”  ที่เป็นหุ้นที่ผมชอบลงทุน  คำตอบของผมมีหลายข้อซึ่งมักจะรวมถึง  ความจริงที่ว่า  มันเป็นตลาดที่ผมไม่มีความรู้มากพอในการที่จะเลือกหุ้นลงทุน  จริงอยู่  ผมก็อาจจะมีความคิดอยู่บ้างเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเหล่านั้นผลิตและขายให้กับคนทั่วโลกรวมถึงผม  แต่เมื่อเทียบกับคนหนุ่มสาวโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนมืออาชีพทั่วโลกแล้ว  ผมก็เป็น  “หมู” ดี ๆ  นั่นเอง  ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากทำ  ผมชอบแข่งในตลาดที่ผมมีความรู้และความสามารถมากกว่าคนอื่นเช่นในตลาดที่กำลังพัฒนามากกว่า   ประเด็นต่อมาก็คือ  ตลาดหุ้นที่วอลสตรีทนั้น  ผมคิดว่ามันเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก  นั่นก็คือ  ราคาหุ้นส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีราคาที่เหมาะสม  เป็นเรื่องยากมากที่จะหาหุ้นราคาถูกซื้อแล้วกำไรงดงาม  การที่เราจะสามารถลงทุนแล้วทำผลตอบแทนดีกว่าตลาดหรือดัชนีในระยะยาวเป็นไปได้ยาก

    แต่คนก็มักจะสงสัยว่าสิ่งที่ผมพูดข้างต้นอาจจะไม่ถูกในโลก “ยุคใหม่”  เหตุผลก็คือ  คนที่ไปลงทุนซื้อหุ้นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ในตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อเร็ว ๆ  นี้หรือที่ทำมาแล้วหลาย ๆ ปี  ต่างก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ  ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นต่างก็ขึ้นไปสูงมากและว่าที่จริงมันก็สูงลิ่วมาเป็นสิบปีแล้ว  ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่อง ฟลุ๊กหรือบังเอิญ  เพราะเทคโนโลยีจะเป็นเรื่องของชีวิตในอนาคตของคนทั้งโลก  การลงทุนถือหุ้นเหล่านั้นยาวนานน่าจะเป็นวิธีที่จะให้ผลตอบแทนสูงและมีความมั่นคงและมันเป็นการลงทุนตามหลักการของ Value Investing อย่างแน่นอน  คนที่ไม่ยอมลงทุนในหุ้นเหล่านั้นในที่สุดก็จะ  “แพ้”  เพราะหุ้น  “ยุคเก่า”  นั้น  นับวันจะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ  แม้แต่ วอเร็น บัฟเฟตต์ เองก็เริ่มลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี  เริ่มตั้งแต่ ไอบีเอ็ม  และล่าสุดก็คือหุ้นแอปเปิล

    ผมเองไม่สามารถที่จะตอบได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร  แต่เมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมา  ผมได้อ่านงานวิจัยของ GOBankingRates ซึ่งแสดงผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นยักษ์ใหญ่ที่เป็น  “ซุปเปอร์สต็อก” ของตลาดหุ้นอเมริกาที่เราคุ้นเคยกว่าสิบบริษัท  เพื่อแสดงว่าถ้าเราซื้อหุ้นลงทุนย้อนหลังไป 10 ปี  เราจะได้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละกี่เปอร์เซ็นต์  ผมคิดว่าน่าสนใจและมันอาจจะเป็นบทเรียนที่ดีได้

    หุ้นตัวแรกก็คือ  หุ้นแอปเปิล  “สุดยอดหุ้น” ที่กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกในวันนี้  ถ้าเราลงทุนซื้อหุ้นเมื่อสิบปีที่แล้วและถือมาจนถึงวันนี้  ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นของเราจะเท่ากับปีละ 24.32%  เงิน 1,000 เหรียญจะกลายเป็น 8,818 เหรียญ หรือเงินโตขึ้นเกือบ 9 เท่าในเวลา 10 ปี   นี่สำหรับผมแล้วก็เป็นเรื่อง Surprise! หรือความผิดคาด  เพราะผมเองเคยตั้งเกณฑ์ว่าหุ้นที่จะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก”  นั้น  จะต้องโตขึ้นอย่างน้อย 10 เท่าในเวลา 10 ปี หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 26%   และก็เคยแสดงให้เห็นว่าในตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น  มีหุ้นแบบนี้กว่า 10 ตัว  ดังนั้น  ถ้าถือตามเกณฑ์นี้  หุ้นแอปเปิลก็ไม่ถึงจุดที่เป็นซุปเปอร์สต็อกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

    หุ้นตัวที่สองคือหุ้น NETFLIX ที่กำลังโด่งดังจากการให้บริการภาพยนตร์ซีรีผ่านโปรแกรม Streaming แบบบอกรับเป็นสมาชิก  ถ้าเราลงทุนเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่บริษัทยังเล็ก  เงิน 1,000 เหรียญจะกลายเป็น 69,835 เหรียญ หรือโตขึ้น เกือบ 70 เท่า  หรือคิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นต่อปีถึง 52.9%  อย่างไรก็ตาม  คงเป็นเรื่องไม่ง่ายนักสำหรับเราที่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักบริษัทเลยเมื่อ 10 ปีก่อนที่จะเข้าไปเลือกหุ้นตัวนี้ได้ถูกต้องเมื่อเทียบกับหุ้นแอปเปิลที่ดังมากแล้วตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน

    หุ้นตัวที่สามคือหุ้นกูเกิลที่หลายคนบอกว่าไม่มีใครทาบได้ในแง่ความสามารถในการแข่งขัน  10 ปีที่ผ่านมาเงิน 1,000 เหรียญโตขึ้นเป็นเพียง 2,940 เหรียญ ให้ผลตอบแทนเพียงปีละ 11.39% ซึ่งน่าจะน้อยยิ่งกว่าซื้อกองทุนรวมอิงดัชนีในตลาดหุ้นไทย  และนี่ก็คือการลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่และโด่งดังมากจนคนรู้จักไปทั่วโลกแล้ว

    ตัวที่ 4 คือหุ้นวอลท์ดิสนีย์  หุ้นธุรกิจยุคเก่าที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมานาน  เงิน 1,000 เหรียญกลายเป็น 3,273 หรือให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 12.59% นี่ก็เป็นผลงานที่น่าทึ่งมากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบริษัทสื่อจำนวนมากที่ต้องล้มหายตายจากไป

    ตัวที่ห้าคือ โค๊ก  หุ้นหลักเก่าแก่ตัวหนึ่งของบัฟเฟตต์ที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นโตขึ้นจาก 1,000 เป็น 2,095 เหรียญ หรือให้ผลตอบแทนปีละแค่ 7.68% พอ ๆ กับดัชนีตลาดหุ้น S&P ของสหรัฐ  ดูเหมือนว่าโค๊กอาจจะกำลังกลายเป็น “อดีต” ซุปเปอร์สต็อกตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

    ตัวที่ 6 คือหุ้นวอลมาร์ท ที่กำลังต้องต่อสู้กับการถูก Disrupted หรือทำลายโดย E-Commerce  ช่วง 10 ปี เงิน 1,000 ที่ลงทุนในหุ้นวอลมาร์ท ก็ยังโตขึ้นเป็น 2,158 เหรียญ หรือได้ผลตอบแทนปีละ 8% แบบทบต้น  และนี่ก็อาจจะแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของอดีตซุปเปอร์สต็อกที่  “ตายยาก” หรืออาจจะตายอย่างช้า ๆ  มีเวลาให้คนขายหุ้นได้ทัน

    ตัวที่ 7 คือไมโครซอฟท์ “ยักษ์ดิจิตอล” ที่เก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่ง  เงินลงทุน 1,000 เหรียญในช่วง 10 ปีโตขึ้นเป็น 2,893 เหรียญ ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 11.21%  ไม่โดดเด่นมากแต่ก็ไม่เลวนักสำหรับหุ้นยักษ์ที่คนถือแล้ว “สบายใจ” เพราะยังไงเสียไม่มีใครมาแทนวินโดว์ได้

    ตัวที่ 8 คือหุ้น ไนกี้  ที่เป็นหุ้น “ยุคเก่า” ที่นักลงทุน “New Gen” อาจจะเบือนหน้าหนีเมื่อ 10 ปีก่อน  แต่ถ้าลงทุน  เงิน 1,000 เหรียญจะกลายเป็น 4,091 เหรียญ หรือได้ผลตอบแทน  “สุดยอด” ถึงปีละ 15.13% แบบทบต้นเป็นเวลา 10 ปี

    ตัวที่ 9 คือหุ้น GE บริษัทที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่และ  “เปลี่ยนโลก”  เข้าสู่ยุคเครื่องใช้ไฟฟ้า  แต่เมื่อ 10 ปีที่แล้วถ้านักลงทุนคิดว่ามันจะ “กลับมา” ยิ่งใหญ่ หรือคิดว่าราคาหุ้น “ถูกมาก” พวกเขาก็คิดผิด  เพราะเงิน 1,000 เหรียญจะเหลือเพียง 857 เหรียญ ใน 10 ปี  หรือขาดทุนเฉลี่ยปีละ1.52%

    ตัวที่ 10 คือหุ้น อเมซอน ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวันและกำลังเปลี่ยนวิถีชีวิตการจับจ่ายใช้สอยของผู้คนจำนวนมากในโลก  เมื่อ 10 ปีที่แล้วที่บริษัทกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วแต่ขาดทุนอย่างหนักคงมี VI จำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถจะลงทุนกับบริษัทที่มี Market Cap. สูงลิ่วแต่ไม่มีกำไรได้  แต่นั่นเป็นสิ่งที่ผิด  เพราะ เงินลงทุน 1,000 เหรียญโตขึ้นเป็น 12,246 เหรียญ หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 28.47% ใน 10 ปี  ถือว่าเป็นซุปเปอร์สต็อกอย่างสมบูรณ์

    ตัวที่ 11 คือหุ้นไฟเซอร์ หุ้นยาที่เป็นเมกาเทรนด์แห่งอนาคต  แต่ถ้าใครลงทุนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เงิน 1,000 เหรียญก็โตขึ้นเป็นเพียง 1,772 เหรียญ หรือให้ผลตอบแทนปีละ 5.89%  บางทีนี่อาจจะไม่ใช่บริษัทที่จะเป็นผู้ชนะในธุรกิจแห่งอนาคตก็เป็นได้ เหนือสิ่งอื่นใด  มันใหญ่มากอยู่แล้วเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

    ตัวที่ 12 คือหุ้นแม็คโดนัลด์  หุ้นอาหารที่ดิจิตัลไม่สามารถทำลายมันได้ เงินลงทุน 1,000 เหรียญ เติบโตขึ้นเป็น 3,836 เหรียญ หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 14.39% ในเวลา 10 ปี และนี่ก็คือหุ้นอาหารที่ให้ผลตอบแทนสูงและ  “ไม่เสี่ยง”  ในยุคดิจิตอล

    หุ้นตัวสุดท้ายก็คือหุ้นที่ไม่สนกระแสของดิจิตอลนั่นก็คือหุ้น สตาร์บักส์ ที่กลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ในสายตาของคนจำนวนมาก  จากสินค้าพื้น ๆ ที่ “ทุกคนทำได้”   เงิน 1,000 เหรียญที่ลงทุนกับบริษัทกลายเป็น 4,283 เหรียญ หรือให้ผลตอบแทนปีละ 15.66% ในเวลา 10 ปี

    ข้อสรุปที่เป็นภาพใหญ่ที่สุดของผมจากผลตอบแทนของ “หุ้นยักษ์” ในตลาดหุ้นอเมริกาก็คือ  มันไม่สามารถโตเร็วมากเท่ากับซุปเปอร์สต็อกในตลาดที่กำลังพัฒนาได้แม้ว่ามันกำลังจะ “ครองโลก”  ดังนั้น  หากจะลงทุนหุ้นซุปเปอร์สต็อกระดับโลกเพื่อหวังผลตอบแทนสูง ๆ    เราคงจะต้องรู้ก่อนที่บริษัทเหล่านั้นจะดังและใหญ่คับฟ้าแล้ว  อย่างเช่นหุ้น NETFLIX เมื่อ 10 ปีที่แล้ว  เป็นต้น

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-----------------------

วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560

5 สิ่งที่มือใหม่ลงทุนหุ้น?

5 สิ่งที่มือใหม่ลงทุนหุ้น..มักประสบพอเจอก่อนจะพลาด !!
1. จังหวะการลงทุนไม่ดี
ใครที่ซื้อพร้อมๆ คนอื่นในตลาด ซื้อตอนใกล้ดอย จังหวะข่าวดี เพื่อนเล่นหุ้นแล้วเขาบอกมาว่าทำกำไรง่าย ได้กำไรเยอะ (แต่พอตอนที่เล่นยากขาดทุนนะ เราไม่เคยได้รู้..เพราะเขาไม่ได้บอกเราไง 555) ซื้อตามเพื่อน ซื้อตามข่าววงใน ต้องระวังให้ดี เพราะ ข่าววงในที่มาถึงเราอาจจะกลายเป็นข่าว วงนอกสุดแล้วก็ได้ !!
2. อยากรวยเร็วๆ
กลุ่มนี้มักเอาเงินทั้งหมดที่มีมาเทรดดิ้งเร็วๆ อยากได้เร็วๆ อยากรวยไวๆ ซึ่งมันเป็นการฝืนธรรมชาติ อาจเพราะ ยังไม่เข้าใจกลไกตลาดหุ้นดีพอ การลงทุนที่ดี เราต้องรู้จักการกระจายความเสี่ยง รักษาเงินต้น และ วาง Money Management ให้ดี
3. หาความรู้ไม่พอ
การเล่นตามคนอื่น พอติดหุ้นก็ยังเชื่อคนอื่น วิธีแก้ คือ ต้องเรียนรู้วิธีค้นหาคัดเลือกหุ้นได้ด้วยตัวเอง เช่น ศึกษาพื้นฐานกิจการหุ้นตัวนั้น ฝึกดูงบการเงินกิจการเบื้องต้น ฝึกดูกราฟเทคนิคอลเพื่อดูรอบและจังหวะลงทุนในหุ้นตัวที่เราสนใจ อ่านหนังสือด้านการลงทุน และติดตามข่าวสาร
4. ขี้กลัวเกินไป
คนที่กลัวเสียเงิน หรือ งก ไม่ควรลงทุนในอะไรที่เสี่ยง เพราะจะทำใจได้ยาก เวลาลงทุนราคาหุ้น อาจจะมีการแกว่งขึ้น และ ลง เดี๋ยวกำไร เดี๋ยวขาดทุน ถ้าใจเราไม่นิ่งพออาจทำให้การตัดสินใจของเราผิดพลาดได้ เช่น กำไรได้นิดเดียวดีใจรีบขาย พอขาดทุนดันขาดทุนเยอะ คิดว่าเดี๋ยวยังไงหุ้นก็ขึ้น ยิ่งถือราคาหุ้นยิ่งลง เพราะไม่รู้จักวิธีการตั้ง "Stop loss"
5. ยอมแพ้ง่ายไป
คนที่เล่นหุ้นผ่านอะไรมาเยอะ จะปล่อยวางกับความผิดหวังได้เก่ง คนพวกนี้ไม่ค่อยใช้อารมณ์นั้นเอง ตอนได้ไม่ดีใจเวอร์ ตอนเสียก็ทำใจเรียนรู้ได้ การลงทุนในหุ้นแบบระยะยาว ถ้าเริ่มตั้งแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์ ดัชนีตลาดจะให้ผลตอบแทนถึงปีละ 10% โดยเฉลี่ย

เพราะฉะนั้นเริ่มลงทุน ต้องใจเย็นๆ ... อยากได้ 5 เด้ง 10 เด้ง มันทำได้ แต่ต้องใช้เวลานะ !!!

วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560

แนวทาง 7 ประการในการลงทุน

แนวทาง 7 ประการในการลงทุน โดยมีตัวย่อ C-A-N-S-L-I-M ดังนี้


C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings) มองหาบริษัทที่เพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40-500%

A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases) มองหาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกัน 5 ปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ P/E Ratio ซึ่งช่วงของ P/E อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป

N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs) หุ้นที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆอยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่

S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand) หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้

L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards) เลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆ สัก 2-3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆในหมวดเดียวกันในอัตรา 80-90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน

I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship) หาให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ

M = ทิศทางของตลาด (Market direction) ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญญาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น
เขาแนะนำให้ทำการขายหุ้นตัดขาดทุนเมื่อหุ้นนั้นตกลงต่ำกว่า 7-8% จากราคาที่ซื้อมาโดยไม่ต้องมีคำถาม และให้ขายหุ้นที่ขึ้นไม่ถึง 20% ภายใน 13 สัปดาห์ ให้ถือหุ้นที่ขึ้นเกิน 20% ภายใน 4-5 สัปดาห์ หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรมากที่สุด
ในกรณีที่หุ้นที่ซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25% อย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดี ทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บหุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรเช่นเดียวกัน

วันอังคารที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2560

การขึ้นเครื่องหมายของบริษัทจดทะเบียน

XA, XD, XE, XI, XM, XR, XW, XS, XT (เครื่องหมายแสดงการไม่ได้รับสิทธิต่างๆ) เครื่องหมายที่ตลาดหลักทรัพย์แสดงไว้บนหลักทรัพย์เป็นระยะเวลาล่วงหน้า 3 วันทำการก่อนวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหลักทรัพย์นั้น เมื่อตลาดหลักทรัพย์ติดเครื่องหมายประเภทดังกล่าวไว้บนหลักทรัพย์ใด หมายความว่าในวันนั้นผู้ซื้อหลักทรัพย์นี้จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ประเภทที่ระบุจากการปิดสมุดทะเบียนการพักโอนหุ้นที่กำลังจะเกิดขึ้น 


เครื่องหมาย    ความหมาย
XA    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้รับสิทธิทุกประเภทที่บริษัทประกาศให้ในคราวนั้น
XD    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้รับสิทธิเงินปันผล
XE    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้รับสิทธิในการแปลงสภาพหลักทรัพย์
XI    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้รับสิทธิรับดอกเบี้ย
XM    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้รับสิทธิในการเข้าประชุมผู้ถือหุ้น
XR    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้รับสิทธิจองหุ้นออกใหม่
XR-CD    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพ
XR-CD/W    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพและใบสำคัญแสดงสิทธิ
XR-D    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นกู้
XR-D/W    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นกู้และใบสำคัญแสดงสิทธิ
XW    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้สิทธิรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหลักทรัพย์
XS    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้สิทธิรับใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อ หลักทรัพย์ระยะสั้น่
XT    ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้สิทธิรับใบแสดงสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได

วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การลงทุนเกมน่าเบื่อ

'การลงทุน-เกมน่าเบื่อ'

เวลาพูดถึงเรื่องของการลงทุน  คนทั่วไปรวมถึงนักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นที่ยังเป็นมือใหม่มักจะคิดถึงกิจกรรมหรือการเล่นที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ  เป็นกิจกรรมที่ “ดุเดือดเลือดพล่าน” ที่นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นต้องมีไหวพริบและกลยุทธ์หรือกลเม็ดเด็ดพรายรอบตัวที่เหนือกว่าคนอื่น  นอกจากนั้น  พวกเขาก็ยังต้องมีความรวดเร็วตัดสินใจเด็ดขาดได้แบบนาทีต่อนาที  จิตใจต้องเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว  บางทีก็ต้องพร้อมที่จะ “ตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต”  บางครั้งก็สามารถ “ทุ่มสุดตัว”  ได้ทันทีเมื่อ  “โอกาสมาถึง”   เรื่องราวหรือ Story ของการลงทุนแต่ละครั้งของนักลงทุนแต่ละคนโดยเฉพาะที่เป็น  “เซียน”  ดูมีสีสันน่าตื่นเต้น  บางครั้งทำกำไรมโหฬารในเวลาอันสั้น  บางคนก็พลาดเสียหายหนัก  ทั้งหมดนั้นดูเหมือนว่าเป็นเรื่องของฝีมือและ/หรือโชคบ้าง  เกมของการลงทุนนั้นดูเหมือนไม่มีใครคิดว่าน่าเบื่อเลย  คนคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนุกและคนจำนวนมากอยากทำ  อยากเลือกหุ้นลงทุน  สนุกกับการ  “ลุ้น” ว่าหุ้นจะขึ้นไปแค่ไหนและจะได้กำไรเท่าไร

    แต่ความเป็นจริงก็คือ  ภาพที่เห็นอาจจะไมตรงกับความเป็นจริง  ความน่าตื่นเต้นเร้าใจอาจจะไม่ได้แปลงออกมาเป็นผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุน  คนลงทุนที่ตื่นเต้นและสนุกกับการลงทุนอาจจะแพ้คนที่ลงทุนแบบน่าเบื่อหน่าย  เซียนหุ้นที่ดูน่าตื่นเต้นมีเรื่องราวการลงทุนที่โดดเด่นน่าติดตามมากกรณีนั้นอาจจะแพ้เซียนที่ดูเงียบเหงาน่าเบื่อหน่ายไม่เคยมี “หุ้นเด็ด” ที่ลงแล้ว “เปลี่ยนชีวิต” ภายในปีสองปีหรือน้อยกว่านั้น  ประวัติศาสตร์ของการลงทุนและนักลงทุนนั้นบอกให้เรารู้ว่า  การลงทุนนั้นเป็นเกมที่เชื่องช้าน่าเบื่อ  วอเร็น บัฟเฟตต์ บอกว่าเหมือนตัวสล็อตที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เคลื่อนไหวช้าที่สุดในโลก  ผมเองคิดว่ามันเป็นเรื่องของเต่าที่เดินช้าแต่มีกระดองที่ไม่มีใครทำอะไรมันได้   ถ้าเปรียบเทียบกับสงคราม  มันคือสงครามยืดเยื้อที่น่าเบื่อหน่ายไม่ใช่สงครามสายฟ้าแล็บ  ถ้าเปรียบกับการแข่งขันกีฬามันก็เป็นการแข่งวิ่งมาราธอนไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร  มันไม่ตื่นเต้นยกเว้นเฉพาะตอนได้ชัยชนะหรือถึงเส้นชัย  แต่ในระหว่างทางนั้นบางทีก็มีแต่อุปสรรค  หลายครั้งเราหมดหวัง  ความอดทนกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เรายังอยู่ในสนามหรืออยู่ในเกม    การ  “เอาตัวรอด” เป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดส่วนหนึ่ง  กลยุทธ์ส่วนใหญ่ที่เราใช้ก็เป็นไปตามนั้น  ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นในระหว่างทางที่ยาวไกล

    เรื่องราวของวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้นดูมีสีสันและน่าตื่นเต้น  คนอาจจะคิดว่านี่คือสิ่งที่บอกว่าเกมการลงทุนเป็นเกมที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ  แต่นี่เกิดขึ้นเพราะเขารวยมากแล้วและดังระดับโลกเพราะผลงานที่สะสมมานานจนเป็นที่ประจักษ์   แต่ถ้าดูผลงานการลงทุนเฉพาะตัวหุ้นหรือผลงานของพอร์ตของเขาเราก็อาจจะได้เห็นอีกภาพหนึ่งว่าจริง ๆ  แล้ว  หุ้นที่เขาลงและผลงานของพอร์ตของบัฟเฟตต์เองนั้น  ไม่ได้หวือหวาอย่างเซียนในระดับเดียวกันเลย  หุ้นแต่ละตัวที่เขาลงทุนนั้นดูธรรมดามาก  เป็นหุ้นเก่า ๆ  ที่อยู่มานานมีคนซื้อขายกันจนไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว  ราคาหุ้นก็ไม่ได้หวือหวาอะไรเลยก่อนหน้านั้นรวมทั้งผลประกอบการของบริษัทเองก็เป็นแบบเดียวกัน   ตัวอย่างเช่นหุ้นโค๊ก หุ้นใบมีดโกนยิลเล็ต  หุ้นซอสมะเขือเทศไฮนน์ ที่เขาซื้อหลังจากที่บริษัทอยู่มาหลายสิบปีและกิจการก็โตมาจนน่าจะ  “อิ่มตัว”  แล้วในสายตาของคนทั่วไป  เป็นต้น

    หุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อเองนั้น  ก่อนที่เขาจะดังระเบิดอย่างในวันนี้  ราคาหุ้นก็มักจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นหวือหวา  และในเวลาต่อมามันก็ไม่เคยปรับตัวขึ้นรุนแรงกลายเป็นหุ้น “ขวัญใจ”  ที่ทุกคนหันมาเล่นกันและราคาขึ้นเป็นเท่า ๆ  หรือหลาย ๆ เท่าในเวลาอันสั้น  หุ้นที่เขาซื้อนั้นมักจะขึ้นไปเรื่อย ๆ  ช้า ๆ  แต่ไม่ค่อยลงเพราะมันเป็นกิจการที่เข้มแข็งมีความสามารถในการแข่งขันเหนือกว่าคู่แข่งอย่างยั่งยืน  ดังนั้น  กำไรมันมั่นคงแน่นอนซึ่งทำให้ราคาหุ้นยืนอยู่ได้ในเกือบทุกสถานการณ์  เวลาผ่านไปยิ่งนาน  ราคาก็ยิ่งขึ้นไป  พอถึงวันหนึ่งคนค่อยตระหนักว่ามันคือหุ้น “สุดยอด”  ที่ไม่เคยดังจริง ๆ  เลย  ไม่เคยขึ้นหวือหวาและคนกล่าวขวัญถึง  คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิดจะซื้อในระหว่างทางเพราะมันดูนิ่ง ๆ  ไม่น่าสนใจไม่มีเรื่องราวโดดเด่น  นี่คือหุ้นน่าเบื่อแต่มันทำเงินในระยะยาว  “ที่เส้นชัย”

    พอร์ตของบัฟเฟตต์เองนั้น  ดูน่าประทับใจมาก  แต่นี่เกิดขึ้นหลังจากเวลาผ่านมานานมากหลายสิบปี  ในระหว่างทางนั้นมันก็ไม่น่าตื่นเต้นอะไรนัก  แต่ละปีมีหุ้นน้อยตัวในพอร์ตที่วิ่งขึ้นเป็น “กระทิงดุ”  ดังนั้นมันจึงไม่มีข่าวอะไรที่มีสีสันเหมือนกับเซียนคนอื่น ๆ  หลายคน  ผลงานการลงทุนของพอร์ตของบัฟเฟตต์ที่น่าสนใจแต่ไม่น่าตื่นเต้นก็คือ  เขาไม่ค่อยจะขาดทุนเลยไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร  ประมาณ 60 ปีที่ผ่านมาพอร์ตของเขาน่าจะขาดทุนไม่เกิน 6 ครั้ง  เช่นเดียวกัน  การเติบโตของพอร์ตของเขาปีต่อปีก็สูงแต่ไม่น่าตื่นเต้นที่ประมาณ 20% บวกลบ แต่แทบจะไม่มีเลยที่พอร์ตจะกำไรเกิน 50% ต่อปี

    เวลาจะซื้อหุ้นหรือเทคโอเวอร์บริษัทเองนั้น  สำหรับบัฟเฟตต์เองก็ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ดูตื่นเต้นอะไร  เขานั่งทำงานอยู่ในออฟฟิสตั้งแต่เช้ายันเย็นเป็นส่วนใหญ่  ใช้เวลากับการอ่านเป็นหลัก  เขาไม่เคยดิ้นรนวิ่งไปหาผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการเพื่อหาข้อมูลลึกแนว  Inside หรือขอซื้อหุ้นหรือกิจการในราคาพิเศษ  เขา “รอ”  ไปเรื่อย ๆ  รอให้มีคนเสนอขายกิจการหรือรอให้หุ้นที่เขาสนใจมีราคาที่เหมาะสมแล้วก็ตัดสินใจลงมือทำ  เขาไม่เสนอตัวไปแข่งกับใครหรือพยายามเข้าไปคุยหาดีลกับบริษัท  ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างจะมีเวลาว่างมากกว่าทรัพย์สินหรือสถานะของเขามาก  ชีวิตประจำวันของเขานั้น  แม้ว่าส่วนตัวเขาเองจะคิดว่าไม่เป็นชีวิตที่น่าเบื่อเพราะเขาบอกว่าเขารักงานของเขาและมีความสุขทุกวันที่ไปทำงาน  แต่มองจากภายนอกแล้ว  เราคงรู้สึกว่า  “น่าเบื่อ”  เพราะวัน ๆ  ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรนัก

    ประสบการณ์ของผมจากการศึกษานักลงทุนที่เป็นหรือเคยเป็น “เซียน”  ทั้งในระดับโลกและในตลาดหุ้นไทยผมคิดว่ามีบทเรียนที่น่าสนใจก็คือ  นักลงทุนส่วนใหญ่และคนในแวดวงตลาดหุ้นต่างก็ชอบลงทุนหรือเล่นหุ้นที่น่าตื่นเต้น  เป็นหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงมาก ๆ  ทั้งในเรื่องของพื้นฐานของกิจการและราคาหุ้น  พวกเขาจะเชียร์กันสนั่นเมื่อมีหุ้นที่เข้าเกณฑ์หรือมีคุณสมบัติดังกล่าว  และก็จะเข้ามาซื้อขายหุ้นหรือลงทุนอย่างหนัก  นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น  “ขาใหญ่” ที่เข้าไปโหมซื้อจนมีสถานะเป็น “ผู้ถือหุ้นใหญ่”  เมื่อมีการประกาศในข้อมูลของบริษัทเขาก็จะได้รับการสรรเสริญชื่นชมว่ามีความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นได้ดีเด่นและ “ทำกำไร”  เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นไปแรง  จากนั้นก็อาจจะมีคนซื้อตามและส่งเสริมให้หุ้นได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น  คนจำนวนมากที่เข้าไปซื้อก่อนหน้านั้นได้กำไรและก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นและพึงพอใจ   เวลาต่อมาหุ้นตัวนั้นก็อาจจะตกลงมาแรงเมื่อผลประกอบการอาจจะไม่ดีตามที่คาด  หรือบางทีก็อาจจะดีแต่ราคาหุ้นแพงเกินพื้นฐานไปมากทำให้นักลงทุนบางส่วนรวมถึงรายใหญ่อาจจะขายหุ้นทิ้งทำให้ราคาลดลงมามาก  คนจำนวนมากที่เข้าไปทีหลังขาดทุนอย่างหนัก  บางครั้งนักลงทุนรายใหญ่ก็ขาดทุนเช่นกันหาก “ปล่อยของ” ไม่ทัน   โดยรวมแล้วคนที่กำไรและคนที่ขาดทุนอาจจะพอ ๆ  กันหรือแตกต่างกันก็ได้แต่คนที่ขาดทุนมักไม่พูดแต่คนที่กำไรพูดไปแล้วทั้ง ๆ  ที่ต่อมาอาจจะขาดทุนทีหลัง

    ผมเองเห็นคนที่ทำผลงานเป็นกรณี ๆ  หรือหุ้นเป็นตัว ๆ  ได้น่าประทับใจอยู่พอสมควร  ซึ่งก็เกิดความรู้สึกว่ากำไรของพอร์ตโดยรวมน่าจะดีมาก—ทุกปี  อย่างไรก็ตาม  เวลาผ่านไปหลาย ๆ  ปี  ผมเองก็ไม่ได้เห็นว่าเขาเหล่านั้นมีผลการลงทุนแบบทบต้นที่โดดเด่นมาก ๆ  อย่างที่คิด  แน่นอนว่าคนที่ลงทุนหรือแม้แต่เก็งกำไรแบบ Aggressive ในช่วง  “ยุคทอง”  ที่ผ่านมาต่างก็รวยในระดับหนึ่งทั้งนั้น  แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ไม่ได้ทำได้เหนือกว่านักลงทุนที่ “ลงทุนเต็มร้อย”  แบบ  “น่าเบื่อ”  เช่นเดียวกัน  ดังนั้น  ผมจึงสรุปโดยอาศัยประสบการณ์การอ่านจากต่างประเทศว่า  การลงทุนแบบที่รู้สึกว่า “น่าเบื่อ”  นั้น  ดีกว่าการลงทุนที่รู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
--------------------

วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การลงทุนดีที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือน

การลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือน โดยดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
.
สำหรับ "มนุษย์เงินเดือน” ที่ไม่ได้มีเงินจากพ่อแม่หรือมีความสามารถพิเศษในการลงทุนและคิดว่าตนเอง “ไม่มีปัญญา” ในการที่จะเรียนรู้เทคนิคการลงทุนที่จะทำให้สามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ ได้ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นกลยุทธ์หรือวิธีการลงทุนระยะยาวที่ “ดีที่สุด” สำหรับเขา มันจะเป็นการลงทุน “เพื่อการเกษียณ” ที่จะทำให้เขาสามารถมีเงินใช้จ่ายได้ตามสถานะที่เขาเป็นอยู่แบบเดิมไปได้ตลอดชีวิตหลังเกษียณโดยที่ความเสี่ยงที่จะ “ขาดเงิน” มีน้อยมาก ๆ สิ่งที่เขาจะต้องทำหรือเงื่อนไขนั้นมีหลักการใหญ่ ๆ สามข้อ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากแต่ต้องอาศัยวินัยและความศรัทธาสูง
.
หลักการสามข้อนั้นผมขอเรียกว่าเป็น “แก้ว 3 ประการ ของการลงทุน” ที่ผมเคยพูดไว้ในหลาย ๆ โอกาสซึ่งผมจะทวนอีกครั้งหนึ่งก็คือ ถ้าหากใครหวังจะรวยหรือประสบความสำเร็จจากการลงทุนสูงนั้น  เขาจะต้องมีแก้วที่ “สุกสว่าง” ทั้ง 3 ดวง โดยที่แก้วดวงแรกก็คือ เขาจะต้องมี “เงินลงทุนเริ่มต้น” หรือเงินที่ได้จากแหล่งอื่นนอกเหนือจากเงินจากการลงทุน เช่น จากเงินเดือน เงินที่พ่อแม่ให้หรือเงินมรดก เป็นต้น “แก้ว” ดวงนี้จะ “สุกสว่าง” มากน้อยนั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับ “โชคชะตา” เช่น คนที่มีพ่อแม่รวยและพ่อแม่แบ่งเงินมาให้ลงทุนมาก “แก้ว” ดวงนี้ของเขาก็สุกสว่างมาก แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความสุกสว่างของแก้วก็อาจจะมากขึ้นได้จากการ “อดออม” ของเราเอง นั่นก็คือ เราสามารถเพิ่มความสว่างของแก้วของเราได้โดยการบริโภคน้อยลงและเก็บออมแล้วเอามาลงทุนมากขึ้น
.
แก้วดวงที่สองคือ ผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุน ความสุกสว่างของแก้วดวงนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการวิเคราะห์และลงทุนอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ตามทฤษฎีและตามประวัติศาสตร์การลงทุนที่มีการเก็บสถิติมายาวนานนั้นบอกว่า หุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดในบรรดาการลงทุนหลักทั้งหลายในระยะยาว ดังนั้น แก้วดวงนี้จะสุกสว่างได้นั้น เราคงต้องลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ในขณะที่การฝากเงินให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ถ้าเงินส่วนใหญ่ของเราอยู่ในเงินฝาก แก้วดวงนี้ของเราก็จะหมองมัว ส่วนพันธบัตรหรือหุ้นกู้นั้นให้ผลตอบแทนกลาง ๆ ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ถ้าเราเน้นซื้อหุ้นลงทุนเป็นรายตัวที่อาจจะทำให้แก้วของเราสว่างที่สุด มันก็มีโอกาสเช่นกันที่แก้วดวงนี้จะ “แตก” และความสว่างจะหายไปกลายเป็นแก้วที่ “มืดมน” เปรียบเทียบก็คือ แทนที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงก็อาจจะขาดทุนได้ โชคดีที่ว่าเราสามารถที่จะลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมที่จะให้ผลตอบแทนที่สุกสว่างพอสมควรได้โดยที่ความเสี่ยงที่จะเสียหายมีน้อยในระยะยาว  ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น การลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีจึงเป็นทางเลือกที่ดีมาก
.
แก้วดวงสุดท้ายก็คือ ระยะเวลาในการลงทุน  ยิ่งเราลงทุนยาวนานเท่าไร แก้วของเราก็จะสุกสว่างมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น คนที่อายุน้อยและแน่วแน่ในการลงทุน ไม่ออกจากตลาดไม่ว่าในสถานการณ์อะไร จึงเป็นคนที่มีแก้วที่สุกสว่างอยู่ในมือ 1 ดวงเสมอ เช่นเดียวกัน คนที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีก็เป็นคนที่มีแก้วที่สว่างกว่าคนที่อายุสั้นกว่า
.
คนที่มีแก้วที่สุกสว่างทั้ง 3 ดวง และใช้มัน โอกาสที่เขาจะรวยจากการลงทุนก็จะสูงมาก คนที่มีแก้วอยู่ในมือแต่ไม่รู้จักใช้ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ส่วนคนที่แทบจะไม่มีแก้วที่สุกสว่างเลยซักดวงก็ต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่สามารถรวยจากการลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ที่ “กินเงินเดือน” และอายุยังไม่มากนั้น หากมีการวางแผนการลงทุนที่ดี และด้วยการ “เสียสละ” การบริโภคในปัจจุบันพอประมาณแต่อยู่ในระดับที่ไม่น่าจะเดือดร้อนนัก จะสามารถที่จะลงทุนจนมีเงินเพียงพอที่จะใช้ในยามเกษียณได้อย่างสบายโดยที่ความเสี่ยงที่จะทำไม่ได้มีน้อยมาก มาดูกันว่าทำอย่างไรและเราจะบรรลุเป้าหมายอะไร?
.
สมมุติว่าเราอายุ 30 ปี มีงานประจำที่มั่นคง มีเงินเดือนตามควรแก่อัตภาพเช่น เฉลี่ยเดือนละ 50,000 บาท และยังไม่เคยลงทุนอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ข้อเสนอของผมก็คือ เราต้องเริ่มเก็บออมเงินและลงทุนโดยการหักออกจากเงินรายได้ 15% ทุกครั้งที่ได้รับเงิน ซึ่งก็คือเดือนละ 7,500 บาท แล้วนำเงินนั้นลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่อิงดัชนี SET50 ซึ่งก็คือการลงทุนในหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 50 ตัวโดยไม่มีการเลือกหุ้น เราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกเดือน ถ้าเงินเดือนเราสูงขึ้น เม็ดเงิน 15% ของเราก็สูงขึ้นตามกันไป เวลาได้เงินพิเศษเช่น โบนัส เราก็ยังคงต้องหักเงิน 15% ก่อนเพื่อเอาไปลงทุนในหุ้น การลงทุนในหุ้นทั้งหมดนั้นอาจจะดูว่า “เสี่ยง” แต่การที่เราทยอยลงไปเรื่อยเป็นเวลาถึง 30 ปี ความเสี่ยงจะหายไปมาก เพราะเราจะซื้อหุ้นเฉลี่ยกันไปทั้งช่วงที่หุ้นถูกและแพง โอกาสที่เงินออมจะเสียหายมีน้อยมาก แต่มีโอกาสสูงที่เราจะได้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละประมาณ 10% ตามสถิติที่เป็นมาในอดีต ถ้าเราทำแบบนี้ ผลที่จะได้รับหลังจากที่เราเกษียณที่ 60 ปีคืออะไร?
.
คำตอบอย่างที่ทำให้เราเข้าใจได้ง่ายที่สุดก็คือ หลังจากเกษียณแล้ว เราก็จะสามารถใช้เงินได้เดือนละเท่าเดิมเท่ากับช่วงที่เราทำงานอยู่โดยที่เราไม่ต้องทำงานต่อไปอีก 30 ปี เช่น ถ้าเราได้เงินเดือนในช่วงแรกที่อายุ 30 ปี เป็นเงิน 50,000 บาท ในวันที่เราเกษียณเดือนแรกเราก็สามารถใช้เงินได้เดือนละ 50,000 บาทเช่นกันหลังจากคำนึงถึงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว (ที่จริงก็คือใช้ได้ประมาณ 120,000บาท ต่อเดือนซึ่งมีค่าเท่ากับ 50,000ในวันนี้) และถ้าในช่วงที่เราอายุ 40 ปี เรามีรายได้เดือนละ 100,000 บาท และเรากันเงิน 15% ซึ่งเท่ากับ 15,000 บาทไว้ลงทุน ในช่วงที่เรามีอายุ 70 ปี เราก็จะสามารถใช้เงินได้เดือนละ 100,000 บาทเช่นกันหลังคำนึงถึงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว
.
มองอีกด้านหนึ่งก็คือ เงินเพียง 15% นั้น ถ้าเรากันไว้ลงทุนในหุ้นในวันนี้ มันจะโตขึ้นเป็น 100% หลังหักอัตราเงินเฟ้อแล้ว ภายในเวลา 30 ปี ดังนั้น เงินเพียง 15% ของทุกเดือนที่เราลงทุนไปในวันนี้ อีก 30 ปี มันก็จะกลับมาเลี้ยงเราเต็มจำนวน ถ้าเราลงทุนตั้งแต่อายุ 25 ปี โอกาสที่เราจะเกษียณอย่างสบายก็จะสูง ถ้าเราลงทุนหลังจากอายุ 30 ปีไปแล้ว เช่น เริ่มลงทุนเมื่ออายุ 40 ปี ถ้าจะให้เราสามารถใช้เงินได้เท่าเดิมหลังเกษียณ เราก็อาจจะต้องกันเงินไว้มากกว่า 15% ของเงินเดือนเพื่อที่จะลงทุน ภาระก็จะหนักขึ้น หรือถ้ายังรักษาระดับที่ 15% ในวันที่เกษียณเราก็มีเวลาลงทุนแค่ 20 ปี ซึ่งก็จะทำให้เงินที่เราจะได้นั้นไม่ถึง 100% ซึ่งก็แปลว่า ในวันเกษียณ เราอาจจะต้องลดระดับความเป็นอยู่ลง
.
คนอายุ 30 ปี ที่เริ่มกันเงินถึง 15% ของเงินเดือนเพื่อลงทุนแต่เขาเน้นไปที่การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้หรือกองทุนผสมที่มีหุ้นน้อย ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะต่ำ ซึ่งก็อาจจะทำให้เขาไม่สามารถใช้เงินได้เท่าเดิมหลังเกษียณ และนี่สำหรับผมแล้ว เป็นการลงทุนที่ไม่เหมาะสม ในระยะสั้น ๆ นั้น ความรู้สึกมั่นคงและ “ไม่เสี่ยง” จากการลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝากนั้น ไม่คุ้มกับการเสียโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจากการลงทุนในหุ้น ว่าที่จริง ในระยะยาวตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป หุ้นโดยรวมนั้นมีความเสี่ยงน้อยมาก โอกาสที่หุ้นจะให้ผลตอบแทนรวมต่ำกว่าตราสารหนี้หรือเงินฝากนั้นผมคิดว่าน่าจะอยู่แค่ในช่วง 5-10 ปีแรกเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วหุ้นก็จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลอด ดังนั้น อย่ากลัวที่จะลงทุนหุ้นเต็มที่ถ้าเราจะลงระยะยาวมาก
.
สุดท้ายที่ผมอยากจะเพิ่มเติมสำหรับคนที่ต้องเสียภาษีรายได้สูงนั้น การลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ในอัตราที่สูงได้ถึง 15% ของรายได้นั้น ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ผมกล่าวถึงมาทั้งหมด แต่ยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลด้วย ดังนั้น ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมและดีที่สุดที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนควรทำ
.
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

cahttradingview

AAPL ชาร์ต โดย TradingView