วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เคล็ดลับในการเทรดDW

DW พื้นฐาน
เคล็ดลับในการเทรดDW มีเคล็ดลับอะไรบ้าง!
ถ้าเราคิดจะเล่นDW เราต้องหาหุ้นแม่ให้ได้ก่อน เราต้องวิเคราะห์หุ้นแม่ตัวนั้นๆก่อนที่เราจะเล่นDW
ยกตัวอย่าง=หุ้นIVL11C1808A
                 =หุ้นIVL11P1808A
IVL=ชื่อหุ้นอ้างอิง
11 =โบกเกอร์ของหลักทรัพย์(มีหลายค่าย)
C  =CAII(คลอ)ซื้อเมื่อคาดว่าหุ้นแม่จะปรับตัว  ขึ้น
P = PUT(พุท)ซื้อเมื่อคาดว่าหุ้นแม่จะปรับตัวลง
18 =หมดอายุปี2018
08A=หมดอายุเดือนที่8ของปี
DW แตกต่างจากวอแรนต์ทั่วไป อย่างวอแรนต์ทั่วไปอายุค่อนข้างยาว
แต่DWอายุค่อนข้างสั้นกว่า ปกติอายุDW3-6เดือน
ต่างจากวอแรนต์ทั่วไปยังงัย!!
ปกติDWอายุจะสั้น  DWมีมาค์เก็ตวอคเกอร์
มีมาค์เกตวอคเกอร์ คือ ทำราคาให้ตรงตามตัวหุ้นแม่
อย่างถ้าวอแรนต์บางทีหุ้นแม่ขึ้น ตัวลูกอาจจะไม่ขึ้น
หรือว่าบางทีหุ้นแม่อยู่เฉยๆ ตัวลูกวิ่งขึ้นวิ่งลงตลอดเวลา ซึ่งไม่มีมาค์เก็ตวอคเกอร์ วอแรนต์ขึ้นอยู่ดีมานซัพพลายของวอแรนต์ตัวนั้นๆเท่านั้น เพราะฉะนั้นคนที่เข้ามาเก็งกำไรตัววอแรนต์ สามารถเก็งกำไรได้แบบตามดีมานฯ คนเล่นกันเยอะ แห่ซื้อกันเข้าไป ราคากระฉูด
แต่ถ้าตัวDWมันจะอ้างอิงกับตัวหุ้นแม่ ถ้าแม่ไม่ขึ้น DWก็จะไม่ขึ้น!! ถ้าแม่ขึ้น DWก็จะขึ้น!!
คือDWมีมาค์เก็ตวอคเกอร์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเลย บางคนกลัว น่ากลัวมาก เสี่ยง แต่กล้าเล่นหุ้นเล็กๆ กล้าเล่นวอแรนต์(ข้อมูลจากหลักทรัพยKGI)
จบ1โพสต์ตี2ขอนอนก่อนง่วงนอนแล้ว ยังไม่ได้โพสต์เรื่องเลือกค่ายไหนเล่นดี เลือกผิดค่ายมีหนาวน่ะครับ😴😴😪😪

DW พื้นฐาน (โพสต์สุดท้าย)
•ความเสี่ยงด้านราคาอ้างอิง
ความเสี่ยงปกติคือ สมมุติเราซื้อบนกระดานหุ้นทั่วไป ซื้อหุ้นแม่ปตท. เกิดมันไม่ขึ้นตามที่เราตั้งใจ อันนี้เรียกว่าความเสี่ยงปกติ
ความเสี่ยงของDWหลักๆคือราคาอ้างอิง
•ความเสี่ยงด้านมูลค่าทางเวลา
อันนี้ทุกคนให้ความสำคัญนิดนึง เพราะว่าบางที เราซื้อเข้าไป เกิดหุ้นตัวแม่ไม่ไปไหน ราคาDWจะลงมา
สมมุติ วันนี้เราซื้อไว้หุ้นปตท.ราคาอยู่ที่240บาทซื้อDWไป1บาท เกิดผ่านไปอาทิตย์นึง
ปตท.ยังราคา240บาทอยู่ แต่DWอาจจะเหลือ99สต.
เหลือ98สต. อันนี้เค้าเรียกว่ามูลค่าทางเวลา หรือบางทีถ้าเราถือหมดอายุ บางทีDWอาจเป็นศูนย์บ. ดูน่ากลัวมั้ยครับ พูดอย่างงี้อาจดูน่ากลัว แต่จริงๆแล้วเรามีเครื่องมือในการช่วยให้นักลงทุนสามารถจัดการกับตัวมูลค่าทางเวลาได้
•ความเสี่ยงสภาพคล่อง(เลือกค่าย)
ถ้าเราเทรดDWกับจ้าวที่คนไม่ค่อยเล่น เป็นจ้าวเล็กๆ ไม่ค่อยมีมูลค่าการซื้อขายกันเท่าไหร่ อาจจะน่ากลัว!!
แต่ถ้าเป็นจ้าวหลักๆ ตรงนี้ไม่น่ากลัว คนเล่นกันเยอะ
(ข้อมูลจากหลักทรัพย์KGI  (SkillLane.com)
ผมไม่อยากให้นักลงทุนหน้าใหม่และคนเก่าเล่นน่ะครับ
ถ้ายังเทรดหุ้นบนกระดานยังไม่เก่งนัก!! ยังเสียอยู่!!
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่อยากมีรายได้อย่างรวดเร็วได้100%ต่อปีหรือมากกว่านั้น ต้องยอมรับความเสี่ยงให้ได้ด้วย สมมุติว่าเราเล่นหุ้นตัวใหญ่ หุ้นแม่ขึ้น1ช่อง ลูกขยับขึ้น3ช่อง ถ้าแม่ขยับขึ้น10ช่อง ลูกขยับขึ้น30ช่อง แต่ในทางกลับกัน ถ้าแม่ลง10ช่อง ลูกก็ลง30ช่องเหมือนกัน การลงทุนมีความเสี่ยงควรศึกษาก่อนการลงทุน😎😎😴😴😪😪💞💗💞💗💘💟

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

EMA

ชุดเส้นค่าเฉลี่ย EMA ที่ใช้มี

10,25,50,75,200

EMA10/25

เส้นน้อยตัดเส้นมากขึ้นเป็นสัญญานซื้อระยะสั้น

เส้นน้อยตัดเส้นมากลงเป็นสัญญานขายระยะสั้น

EMA50/75

เส้นน้อยตัดเส้นมากขึ้นเป็นสัญญานซื้อระยะกลาง(Goldencross ระดับที่ 1)

เส้นน้อยตัดเส้นมากลงเป็นสัญญานขายระยะกลาง(Deadcross ระดับที่ 1)

EMA50/200

เส้นน้อยตัดเส้นมากขึ้นเป็นสัญญานซื้อระยะยาว(Goldencross ระดับที่ 2)

เส้นน้อยตัดเส้นมากลงเป็นสัญญานขายระยะยาว
(Deadcross ระดับที่ 2)

กรณีดูราคาปิด

EMA10-EMA25
หุ้นที่พักตัวในขาขึ้น มักจะอยู่ในกรอบไม่หลุด

EMA25
 ถ้าหลุดเป็นสัญญาน Warning ควรจะเริ่มขายหุ้นออกมา(ขาขึ้น/ขาลง ระยะสั้น)

EMA50
ตีความว่า ถ้าเหนือเส้นนี้ เป็นขาขึ้น ถ้าต่ำกว่าเส้นนี้เริ่มเป็นขาลง(ขาขึ้น/ขาลง ลงระยะกลาง 1)

EMA75
ถ้าถึงแนวรับนี้มีโอกาสเด้ง/ร่วง(ขาขึ้น/ขาลง ระยะกลาง 2)

-กรณีหุ้นลง ลงไปชน EMA75 แล้วมีโอกาสเด้งขึ้นไปแถวๆ EMA50
-กรณีหุ้นลง ถ้าลงไปแล้วไม่เด้ง แล้วหลุด EMA75 เตรียมใจลงแรงไปเจอกันที่ EMA200

-กรณีหุ้นขึ้น เริ่มขึ้นมาชน EMA75 แล้วมีโอกาสร่วงลงไปที่ EMA50

EMA200 แนวรับสุดท้าย(ขาขึ้น/ขาลง ระยะยาว)ถ้าหลุดแล้วไม่เด้งกลับมายืนเหนือ EMA200ได้ภายในระยะเวลาประมาณ 1 อาทิตย์ เตรียมทำใจลงแรง

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

อสังหาริมทรัพย์: เรียนรู้-ลงมือทำ-สำเร็จ

  สอนหลายปีพบว่าคนสำเร็จในเครื่องมือที่ชื่อ “อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า” มีจุดร่วมเหมือนกันในหลายๆเรื่อง เท่าที่พอนึกออกและอยากหยิบมาเล่าให้ฟังกัน มีดังนี้
.
1) มีเป้าหมายการลงทุนชัดเจน
.
คนกลุ่มนี้วาดภาพไว้ในใจแล้วว่า ปลายทางพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการ หน้าตาเป็นอย่างไร แค่ไหนถึงพอ ถึงตอบโจทย์ชีวิต ที่สำคัญพวกเขามีเหตุผล (Why?) อยู่เบื้องหลังเป้าหมายด้วยว่า ทำไม? เป้าหมายของพวกเขาจึงเป็นเช่นนั้น
.
การตั้งเป้าหมายประเภท จะซื้อลงทุนให้มากที่สุด แบบนี้จะทำให้การลงทุนสะเปะสะปะมาก หรือบางครั้งทำให้ไม่หยิบจับทำอะไรเลย ในขณะเดียวกัน คนที่ต้ังเป้าหมายจะทำอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า 100 ห้อง โดยไม่มีเหตุผลที่ดีรองรับ พวกนี้ก็ไปไม่ถึงเป้าหมายเช่นกัน
.
อีกเรื่องคือ ขนาดเป้าหมาย กับการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกัน เช่น คนๆ หนึ่งตั้งเป้าหมาย Passive Income 100,000 บาทต่อเดือน แต่เริ่มลงทุนทรัพย์สินขนาด 300,000 กระแสเงินสดบวก 500 บาท การที่เป้าหมายและการลงมือทำห่างไกลกันขนาดนี้ ก็อาจทำให้หมดไฟหมดพลังไปเสียก่อนได้
.
2) เริ่มต้นลงมือทำในสเกลที่รับมือไหว
.
การเริ่มต้นลงทุนบนทรัพย์สินในสเกลที่หากพลาดก็ยังรับมือไหว ถือเป็นหัวใจสำคัญอันหนึ่งของการเรียนรู้ ในมุมหนึ่งเป็นการจำกัดความเสี่ยง รวมไปถึงจัดการกับความรู้สึกกลัวการลงทุน และในอีกมุมหนึ่งก็เป็นการเริ่มต้นเรียนรู้วิธีการบริหารทรัพย์สินขนาดย่อมๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการถือครองทรัพย์สินในสเกลที่ใหญ่ขึ้นต่อไป
.
3) พื้นฐานการเงินดี
.
คนที่การเงินแย่ หากกระโดดมาลงทุนโดยไม่วางแผนหรือแก้ปัญหาเดิมที่มีให้ทุเลาลงก่อน มีโอกาสที่จะถูกบททดสอบจากจิตวิทยาการลงทุนที่พร้อมจะเพี้ยนไป อันเนื่องมาจากปัญหาทางการเงินรายวันได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการขาดสภาพคล่อง การถูกติดตามทวงถามจากเจ้าหนี้ และหากปล่อยไว้ยาวนาน ก็จะส่งผลเสียกับเครดิต ซึ่งกระทบโดยตรงกับโอกาสกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนด้วย
.
คุณไม่มีเวลาคิดและวางแผนการเงินระยะยาวได้หรอก หากชีวิตประจำวันคุณยังสาละวนอยู่กับปัญหาการขาดเงินทุกๆ 30 วัน
.
4) มีแผนการและกลยุทธ์ของตัวเอง
.
จากทรัพย์เล็กๆ ไม่กี่แห่ง หลายคนพัฒนาสู่พอร์ตอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้ด้วยกลยุทธ์การลงทุน ทั้ง Farming Pyramiding หรือการไฟแนนซ์เงินจากทรัพย์เก่าเพื่อไปลงทุนในทรัพย์ใหม่ เมื่อวงเงินสินเชื่อถูกจำกัด ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่พาไปสู่ความสำเร็จ ที่นักลงทุนทุกคนต้องรู้ เพราะการมีความรู้รอบด้าน ย่อมทำให้เรามีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น
.
5) การมีแหล่งรายได้หลายทาง
.
วงเงินการกู้ยืมเพื่อซื้อทรัพย์สิน ขึ้นกับเครดิตและความสามารถในการหารายได้ของผู้กู้ คนที่มีรายได้ทางเดียวหรือรายได้น้อย ถ้ารู้จักวิธีสร้างรายได้เพิ่ม ก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้มากขึ้นตามไปด้วย
.
หลายครั้งมีคนถามว่า เงินรายได้น้อยจะทำยังไงให้กู้ลงทุนอสังหาฯ ได้เยอะๆ ทุกครั้งผมก็จะตอบกลับพวกเขาไปว่า “คำตอบของคุณอยู่ในคำถามของคุณแล้ว!”
.
6) จัดการความเสี่ยงได้ดี
.
ไม่มีทรัพย์สินใดในโลกคงกระพัน อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าก็เช่นกัน ความเสี่ยงสูงสุดของทรัพย์สินเพื่อการลงทุนกลุ่มนี้ ก็คือ การปราศจากผู้เช่า และส่งผลให้เราต้องรับภาระผ่อนธนาคารด้วยตัวเอง คนที่วางแผนการเงินของทรัพย์สินไม่ดี ในระหว่างมีคนเช่า มีส่วนต่างค่าเช่า ไม่รู้จักสะสมเงินไว้สำรองเผื่อผู้เช่าย้ายออก ก็คงหลีกหนีไม่พ้นผลกระทบทางการเงินต่อตัวเอง
.
นอกจากนี้เรื่องการเลือกประเภททรัพย์ลงทุน รวมไปถึงกลุ่มผู้เช่า ก็ส่งผลกับการลงทุนและการบริหารจัดการหลังครอบครองอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
.
7) อดทนรอคอยความสำเร็จเป็น
.
อันนี้เป็นอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญ มีหลายคนเร่งลงทุนเร่งสำเร็จจนเกินไป กู้ลงทุนพร้อมๆกันหลายหลัง โดยที่ยังไม่มีความรู้ หรือรีบตัดสินใจซื้อ ทั้งที่ยังศึกษาข้อมูลไม่ดีพอ สุดท้ายก็ต้องมาติดดอยอสังหาฯ ปล่อยเช่าก็ไม่ได้ ขายก็ไม่มีคนซื้อ
.
บอกเลยนะครับ! ดอยหุ้นว่าหนาวแล้ว ดอยอสังหาฯ หนาวกว่ากันเยอะ
.
ค่อยๆ ลงมือทำตามแผนการไปเรื่อยๆ ก็ถึงเป้าหมายได้เหมือนกัน ผมเองเคยเจอนักลงทุนมือใหม่ท่านหนึ่ง ตั้งเป้าหมายลงทุน 3 หลังใน 10 ปี เห็นแผนตอนแรกผมคิดและบอกเค้าว่า “ช้าไปมั้ย” สุดท้ายผ่านไป 5 ปี เขามีทรัพย์สินให้เช่าหลังละ 3 ล้าน 3 หลัง
.
ช้าแต่ชัวร์ ดูมีความสุขดี ... เลยกลับมาคิดใหม่ว่า การลงทุนที่ทำให้ได้กำไรสูงสุด ได้กำไรเร็วๆ อาจไม่ทำให้เรามีความสุขเท่ากับการลงทุนที่ตรงจริตตัวเอง และทำให้เรานอนหลับฝันดีก็ได้นะ
.
ทั้งหมดเป็นมุมมองส่วนตัวที่พบเห็นจากทั้งตัวเอง และน้องๆลูกศิษย์ที่มาเรียนด้วยกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังจะเริ่มต้นลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าทุกคนนะครับ
.
8 โมงตรงวันศุกร์นี้ (10 พ.ย.) เปิดรับสมัครสัมมนาบ้านเช่าหลังแรก รุ่น 4 ที่เพจนี้
.
เรียน 9-10 ธันวาคม เวลา 09.00-17.00 น. โรงแรมอเล็กซานเดอร์ ถ.รามคำแหง ค่าใช้จ่ายในการสัมมนา 3,750 บาท
.
แล้วพบกันครับ
.
#TheMoneyCoachTH

วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

RSI

RSI > 66.66
= แรงซื้อมากกว่าแรงขายในอัตราส่วน 2:1

RSI > 55
= เทรนขาขึ้นเริ่มต้น

RSI >= 40
= อยูในช่วงพักตัว

RSI < 33.33
= แรงขายมากกว่าแรงซื้อในอัตราส่วน 2:1

------------------------------------------

RSI

เมื่อ RSI < 50 Momentum ของหุ้นตัวนั้นๆจะเริ่มเสีย

เมื่อ RSI < 33.33 ข่าวร้ายมักจะตามมาและจะเกิด Panic Sell

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ธรรมะกับ"การเล่นหุ้น"

การเล่นหุ้นคือการแข่งกับตัวเอง
ต่อสู้กับใจของตัวเอง
ไม่ใช่แข่งกับเพื่อนๆๆ
หรือคนอื่นๆๆ
การเล่นหุ้นแบบมีธรรมะเป็นหลัก ประจำใจจะทำให้เกิดปีติ (ความอิ่มใจ ปลาบปลื้มใจ) ปราโมทย์ (ความร่าเริงเบิกบานใจ) ปัสสัทธิ (ผ่อนคลาย สงบ) สุข (ฉ้ำชื่นใจ) และสมาธิ (มีใจมั่นคง) แต่ถ้าเป็นการเล่นด้วยตัณหาเช่น อยากรวย อยากได้ จะมีแต่ความร้อนรุ่ม ความรู้สึกดีๆๆ เหล่านั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย มีความทุกข์จากสิ่งที่ตัวเองไม่มี ส่วนฉันทะ คือ ความชอบ รู้สึกมีความสุขจากสิ่งที่ตัวเองมี

ในหมู่การลงทุนทั้งหมด การลงทุนในหุ้นสร้างกิเลสได้มากที่สุด ทำให้จิตกระเพื่อมมากที่สุด ผัสสะ (จากข่าว ราคาหุ้น) ทำให้เกิด เวทนา (สุข ทุกข์) และก่อตัวเป็น ตัณหา (อยากซื้อ อยากขาย) พัฒนากลายเป็นอุปาทาน (ตัวกูของกู) ตามวงจร ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพชาติ มนุษย์สามารถใช้กำลังสติ ไปสกัดความรู้สึกช่วงระหว่างที่ผัสสะทำให้เกิดเป็นเวทนา หรือเวทนาเปลี่ยนเป็นตัณหาได้ เช่น เมื่อหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นจะเกิดสุขเวทนา และเกิดตัณหาอยากซื้อเพิ่ม เมื่อสั่งซื้อสำเร็จ ก็จะเกิดอุปาทาน หุ้นของกู ทำให้เกิด ภพ ชาติ ย่อยๆๆ ขึ้น จิตจะผูกพันกับราคาหุ้นตัวนั้นไปเรื่อยๆๆ จนได้พบกับอนิจจัง ทุกขังของราคาหุ้น และสุดท้ายจบลงด้วยการตัดสินใจขายหุ้นตัวนั้นออกไป หมดสิ้นภพชาติย่อยลงไปครั้งหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะขายด้วยสาเหตุใดก็ตาม กำไรหรือขาดทุน ก็จะเกิดอวิชชา คือสัญญาที่เจือไปด้วยกิเลสและอารมณ์ตามมา สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยทำให้เกิด สังขาร วิญญาณ และนามรูป เพื่อการเข้ามารับผัสสะในครั้งต่อไป คนที่เคยลิ้มรสชาติของการได้กำไรมาแล้วยากที่จะเลิกเล่นหุ้น และสำหรับคนที่ขาดทุนก็จะหาทางเอาคืน ดังนั้นคนที่หลงเข้ามาในวังวนนี้แล้ว ยากที่จะหลุดพ้นออกไปได้

คนเล่นหุ้นมีภพชาติย่อยๆๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา วันที่หุ้นพุ่งก็มีความสุขราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ บางวันก็ร้อนรุ่มปานอยู่ในนรก ส่วนวันที่ราคาไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง หรือวันเสาร์ บางวันก็ร้อนรุ่มปานอยู่ในนรก ส่วนวันที่ราคาไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง หรือวันเสาร์ วันอาทิตย์ก็กลับมาอยู่โลกมนุษย์ ได้เล่นกับลูก สังสรรค์กับเพื่อน พุ่งน้อยหน่อยก็ขึ้นชั้นดาวดึงส์ แต่ถ้าวันไหนหุ้นตกติดฟลอร์ จะได้ลงนรกขุมลึกสุดคืออเวจี วิธีแก้ไขก็คือ วันไหน ที่มีความสุขมากให้แยกสติออกมาเป็นผู้ดู สุขหนอ กำไรหนอ ก็แค่นั้นเอง ไม่เอาใจเข้าไปดื่มด่ำ เมื่อสามารถแยกตัวออกจากสุขได้ วันไหนทุกข์ก็จะแยกตัวออกมาจากมันได้เช่นกัน ยิ่งหลงไปกับสุขเวทนาตอนหุ้นขึ้นมากเท่าไร ก็จะเกิดทุกขเวทยสตอนหุ้นตกมากเท่านั้น คนเจ้าอารมณ์ที่ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ไม่ควรเล่นหุ้น เพราะจะทนทุกข์ทรมานราวกับอยู่ในนรกทุกวัน วันไหนหุ้นขึ้นก็จะเสียดายจนทุกข์ วันไหนหุ้นตกก็จะเสียใจ คนส่วนใหญ่หมดตัวกับหุ้นก็เพราะอารมณ์โลภ โกรธ หลง อิจฉาริษยา เสียดาย เสียใจ ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ตัดสินใจผิดจังหวะ ตลาดหุ้นในแต่ละวันก็มีอารมณ์เป็นของตัวเอง บางวันตลาดตื่นตระหนก บางวันอารมณ์ดี บางวันอารมณ์แปรปรวน คุณสมบัิตที่สำคัญของนักเล่นหุ้นคืออย่าเอาอารมณ์ตลาดเข้ามาเป็นอารมณ์ของตัวเอง อุเบกขาจึงเป็นหลักธรรมในพรหมวิหาร 4 ที่สำคัยของนักเล่นหุ้น ทำให้ไม่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ของตลาด

พรหมวิหาร 4 คือ
อุเบกขา คือการรู้จักที่จะปล่อยวาง ในบางครั้งชีวิตของคนเราก็ต้องพบกับส่ิงที่ไม่อาจเข้าไปแก้ไขได้ เมื่อถึงเวลาต้องปล่อยก็ต้องปล่อย บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยตามกฎแห่งกรรม เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องรู้จักปล่อยวางไม่เอาใจเข้าไปรับ
Credit : หนังสือจิตของนักเล่นหุ้น โดยทันตแพทย์สม สุจีรา

กฎการเทรด 10 ข้อ

✨ กฏการเทรด 10 ข้อ และการอยู่รอดในตลาด ที่ต้องท่องให้ขึ้นใจ ✨

📌  1. ความอยู่รอดคือจุดเริ่มต้น การเก็งกำไรเป็นธุรกิจที่เสี่ยงสูงมากๆ มันไม่เกี่ยวว่า เราจะชนะ หรือแพ้ มันเกี่ยวกับคำว่าเราจะอยู่รอดอย่างไร เมื่อตลาดอยู่ที่จุดต่ำๆ หรือจุดสูงๆ ถ้าคุณอยู่รอดไม่ได้ คุณไม่สามารถชนะได้
อย่างแรกสุดของการอยู่รอด คุณต้องมีแนวทาง หรือวิธีการเก็งกำไรที่ทำได้จริง
ข่าวลือ วงใน ความรู้สึกไม่ใช่แนวทางการเก็งกำไร โอกาสหรือพื้นที่ในการเก็งกำไรจะมาจากความจริงที่สามารถทำได้จริง
นักเก็งกำไรระยะสั้น และระยะยาวอาจมีแนวทางการทำกำไรต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือวิธีการ และเครื่องมือที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริง
นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เวลาเยอะมากในการซื้อ laptop แต่ตัดสินใจเร็วมากในการวางเงินเดิมพันจริงๆ ในตลาดทุน
ปัญหาโดยทั่วไป คือมีเทคนิคเยอะมากที่มันใช้ทำเงินจริงๆไม่ได้ เขาแนะนำได้อย่างนึงคือ คุณต้องใช้เวลาให้มากหน่อยในการเรียนรู้ และตัดสินใจในการเข้าเก็งกำไร ในช่วงวิกฤตต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณจะมี การบริหารเงินที่ดี MM มีระบบที่ดี มีรูปแบบการเก็งกำไรที่ทำได้จริง แต่คุณก็ยังต้องควบคุมตัวเองให้ได้อยู่ดี

📌 2. ทั้งหมดนี้ มันคือเกมส์ของอารมณ์ และมันจะเป็นไปตลอด อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกี่ยวข้องกับเงิน และยิ่งเป็นเงินของเรา มันทำให้เราตัดสินใจอย่างไร้เหตุผล ความกลัว อารมณ์ต่างๆทำให้นักเทรดเดอร์ทั้งหลายพลาดกับการลงทุนที่ดี หรือเขาเดิมพันที่สูงมาก เมื่อการบริหารเงินถูกคอบงำโดยอารมณ์ โดยปราศจากเหตุผล

📌 3. ความโลภ เมื่อความโลภมีผลต่อเรามากกว่าความกลัว มาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อคุณเป็นนักเก็งกำไร คุณจะมีความกลัวลดลงกว่าคนทั่วไป เพราะคุณถูกดึงดูดในเรื่องการทำเงินให้ได้ ในขณะที่คนอื่นจะกลัวการขาดทุน
ความโลภเป็นอุปสรรคต่อนักเทรดทั่วไป ความโลภจะทำให้คุณมีความหวังหลงเหลือ ความโลภจะทำให้คุณผลีผลามเข้าในจังหวะที่เสียเปรียบ และออกเร็วเกินไป ความหวังคือศัตรูตัวหลักเพราะมันทำให้คุณฝันถึงกำไรมหาศาล
และออกไปสู่โลกแห่งความฝัน เชื่อผมเถอะ !!! โลกของการเก็งกำไร มันมีจริง และคนมากมายศูนย์เสียเงินที่ตัวเองเก็บมาทั้งชีวิต ชีวิตคู่พัง ครอบครัวแตกแยก จากการได้เสียอย่างมากมายในตลาดนี้
แน่นอน การชนะของเราที่เกิดจากการเก็งกำไร อาจจะชั่วครั้ง ชั่วคราว มันพร้อมจะจากเราไป เหมือนกับเราถูกฟ้องล้มละลาย หรือโกงเลยทีเดียว
ผมไม่สามารถบอกวิธีที่แน่นอนในการจัดการกับความโลภได้ แต่สิ่งที่ผมบอกคุณได้อย่างเดียวคือ คุณต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ไม่งั้นคุณจะไม่มีทางรอดจากตลาดแน่นอน

📌 4. ความกลัว
ความกลัวเป็นสาเหตุ ให้คุณไม่กล้าทำในสิ่งที่คุณควรจะทำ ไม่กล้าตัดสินใจเมื่อ ความได้เปรียบมาถึง แน่นอนมันตรงข้ามกับความโลภที่เป็นสาเหตุให้คุณทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
นักจิตวิทยาบอกว่า ความกลัวทำให้คุณไม่กล้าขยับ ถึงแม้โอกาสที่ดีจะวิ่งเข้าหาคุณอย่างมากมายขนาดไหน แต่พวกเขาก็จะมองผ่าน และไม่ทำอะไรกับมันเลย และแย่ยิ่งกว่านั้นคือเขาพลาดโอกาสที่ดีไปแล้ว ถ้าถามผม ผมก็ไม่รู้
แต่ผมบอกได้อย่างเดียวคือ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผมกลัวมากเท่าไหร่ โอกาสชนะของผมที่จะได้กำไรกลับมีมากขึ้น นักลงทุนทั่วไปกลัวและเอาตัวเองมาจากตำแหน่งที่ได้เปรียบ

📌 5. Money management คือการสร้างความมั่นคั่ง
แน่นอน คุณสามารถทำเงินจากการเป็นเทรดเดอร์ หรือ นักลงทุนก็ได้ แต่ผมบอกได้เลยว่ากำไรส่วนใหญ่มันไม่ได้มาจาก เทคนิคการเทรด รูปแบบการลงทุน มากเท่ากับวิธีการบริหารเงิน หรือการจัดการเงิน
ผมยกตัวอย่าง ผมทำเงินจาก $10,000 เหรียญเป็น 1 ล้านเหรียญใน 1 ปี ในการแข่งขันรายการนึงด้วยเงินจริง ด้วยวิธีง่ายๆคือ เมื่อกำไรเยอะขึ้นคุณก็เทรดเยอะขึ้น และเมื่อกำไรลดลงคุณก็ต้องเทรดด้วยสัญญาที่น้อยลง
และ 10 ปีต่อมา ลูกสาวเขาอายุ 16 ปี ก็ชนะรางวัลการเทรด โดยทำเงินจาก 10000 เหรียญ เป็น 1 แสนเหรียญ ผมบอกได้เลยว่าไม่มีสูตรลับใดๆ ไม่มีกราฟมหํศจรรย์ใดๆ เธอแค่ทำตามรูปแบบการบริหารเงินเหมือนที่ผมได้ทำ

📌 6. การทำกำไรมหาศาล ไม่ได้มาจากการเดิมพันที่สูง
มีเรื่องราวมากมายของนักเทรด อย่าง jesse livermore, john gates, niederhoffer, frankie joe และอีกมากมาย คนพวกนี้เดิมพันสูงมาก และสูญเสียเงินตัวเองหมดในท้ายที่สุด
การลงทุน หรือเก็งกำไรที่ฉลาดจะไม่เดิมพันสูง และไม่มีทาง ทำไมเหรอ คุณสามารถชนะ และทำกำไรมหาศาลเมื่อคุณเดิมพันไม่เยอะ กลับไปดูข้อ 5 ท้ายที่สุด เมื่อคุณเดิมพันสูง เวลาคุณเสีย คุณก็เสียเยอะเช่นกัน
มันเหมือนการเล่น รูเร็ต คุณสามารถเล่นได้บ่อยโดยคุณไม่แพ้เลย แต่ถ้าคุณเล่นบ่อยมากเท่าไหร่ บ่อยจนเพียงพอต่อผลลัพธ์อันเดียวที่คุณไม่มีทางหนีได้ คือ จุดจบ ความตาย และเมื่อคุณเดิมพันสูง คุณก็จะหมดตัวเช่นกัน ตัวผมก็เคยผ่านมาแล้ว เชื่อผมเถอะ
ผมเดิมพันน้อยลง ควบคุมความเสี่ยงให้ได้ ไม่มีวิธีใดหรอกที่จะอยู่รอดในตลาดโดยปราศจากการควบคุมความเสียหาย

📌 7.พระเจ้าอาจช้า แต่พระเจ้าไม่เคยปฏิเสธ
ผมไม่เคยรู้เลย เมื่อไหร่ผมจะทำเงินได้ มันอาจจะเป็นการเทรดครั้งแรก หรือครั้งสุดท้ายของผมเองก็ได้ แต่คุณต้องเตรียมรบ ให้ได้นานที่สุด
ผมคิดว่าความเชื่อในเรื่องของพลัง คือ ปัจจัยในการสำเร็จของนักเทรด มันช่วยให้เรามีวิสัยทัศน์ในการเก็งกำไร
-.- เริ่มง่วง สรุปคร่าวๆ ขอให้เรามีพยายาม และเชื่อในพลังในตัวเอง และมุ่งมั่น ความสำเร็จจะตาม

📌 8. ผมเชื่อเสมอว่า การเทรดในปัจจุบัน ผมจะขาดทุน
อันนี้คือเคล็ดลับความเชื่อในการเก็งกำไร ให้ประสบความเสำเร็จของผมเลยทีเดียว นักเทรดทั่วไป เชื่อเสมอว่า เทรดครั้งต่อๆไป ในอนาคตพวกเขาจะเทรดได้ดีขึ้น และจะเป็นผู้ชนะ
แต่ไม่ใช่ผม !!! ผมเชื่อว่า หลักๆแล้ว หลักการจริงๆแล้ว คือการเป็นผู้แพ้ ผมถามคำถามคุณ คุณคิดว่า ผมที่มี stop อย่างผม และเทรดอย่างถูกต้อง หรือคนที่เทรดด้วยความเชื่อโดยปราศจากเหตุผล คุณคิดว่าใครจะแพ้
ระหว่างผม หรือ คนที่คิดในแง่ดี
ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ผมจะบอกคุณว่าการที่ผมคิดว่าผมเป็นผู้แพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะปกป้องตัวเอง ในทุกรูปแบบ และทุกเวลา และผมจะไม่อยู่ในความหวัง และความไม่จริง

📌 9. โชคจะมาหาคุณจากการเพ่งความสนใจเพียง 1 ตลาด หรือ 1 เทคนิค
คนที่เทรดหลายๆอย่าง จะไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด ทำไม? นักเทรดจะต้องตั้งใจในรายละเอียดของการเทรด โดยปราศจากอารมณ์
การไขว้เขว้อาจหมายถึงต้นทุนคุณที่เพิ่มขึ้น ขาดการใส่ใจ นั่นจะทำให้คุณ ไม่ได้เข้าในจุดที่ควรจะเข้า หรือเพิกเฉยในการเทรดซึ่งนำมาซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้น
เหมือนกับพวกที่โยนบอลขึ้นไปในอากาศ มันค่อนข้างยากที่คุณจะควบคุมบอลที่โยนขึ้นไปอากาศ อย่างเช่นบอล 3 ลูก แน่นอนคุณอาจจะฝึกได้ แต่เมื่อเพิ่มลูกบอลขึ้นเรื่อยๆ น้อยคนมากๆที่จะทำได้ และควบคุมลูกบอลพวกนี้ได้
ดูอย่างพวกนักกีฬาสิ พวกเขามุ่งมั่นอยู่แค่กีฬาอย่างเดียว หรือพวกศิลปิน นักดนตรี ไม่มีหรอกที่จะเป็นดาวดังจากการร้อง country western and opera ดังนั้น ยิ่งคุณมุ่งมั่นได้มากเท่าไหร่ในสิ่งที่คุณทำ คุณจะยิ่งประสบความสำเร็จมากมายในด้านนั้นๆ

📌 10. เมื่อสงสัย ให้กลับไปอ่านข้อหนึ่งใหม่
มีเวลาจะมา edit ใหม่ช่วงหลังง่วงๆ อาจแปลงงบ้าง ^^
BOYLES
ที่มา LARRY WILLIAMS

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

นักลงทุนควรรู้

1.สำหรับการเล่นหุ้นแล้ว อีคิวสำคัญกว่าไอคิว
2.การมีหุ้นก็เหมือนมีลูก คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ
3.ยอดมนุษย์ไวกิ้ง เกิดขึ้นได้เพราะท้องทะเลที่ปั่นป่วนฉันใด
ยอดมนุษย์นักลงทุน จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะตลาดที่ปั่นป่วนฉันนั้น
4.คนคิดลบจะลุ้นให้หุ้นตก และเมื่อตกจริงๆๆ เขาก็จะไม่กล้าซื้ออยู่ดีเพราะคิดลบ ส่วนคนคิดบวกจะลุ้นว่าหุ้นขึ้น และเมื่อขึ้นจริงๆๆ เขาจะซื้อเพิ่มเพราะมองบวก
5.คนที่ถือคติว่า ไม่ขาย ไม่ขาดทุน ลึกๆๆ แล้วความรู้สึกในใจ
ก็จะบอกว่า ไม่ขาย ไม่กำไร เช่นเดียวกัน และคนที่คิดแบบนี้
บทสรุปสุดท้ายจะจบลงที่ ติดดอย และ ขาหมู
6.ในช่วงวัยต้นของชีวิต จงยอมให้เงินใช้เราทำงาน แต่ในช่วงหลังของชีวิตจงใช้เงินทำงานให้เรา
7.ถ้ายังมีเงินเก็บไม่ถึงหนึ่งล้านบาท อย่างเพิ่งคดเรื่องจะให้เงินทำงานแทน
8.คนที่เชื่อว่ามีโอกาสในวิกฤติ ก็จะพยายามมองหาจนเจอ
ภายในวันเดียว ตลาดหุ้นก็เช่นกัน
9.กรุงโรม ไม่ได้สร้างภายในวันเดียว
10.เราต้องเป็นคนเล่นหุ้น อย่าปล่อยให้หุ้นเล่นเรา
11.การซื้อเฉลี่ยขาลง จะมีความทุกข์ทรมานมากกว่า การซื้อเฉลี่ยขาขึ้น
12.ความทุกข์ส่วนหนึ่งของคนเล่นหุ้น เกิดจากการไปนึกเสียดายถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว
13.การ Cut loss เปรียบเสมือนการตัดหางจิ้งจก เพราะเงินสามารถงอกขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา
14.การ Cut loss คล้ายการวิ่งหนีสินามิ แม้วิ่งเก้อสี่ครั้ง
แต่ครั้งที่ห้าเกิดขึ้นจริง ทำให้รอดตาย
15.รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง แต่นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่
มุ่งไปที่รู้เขา โดยละเลยการรู้เรา
16.แม้ย้อนเวลาได้ แต่จิตยังไม่เปลี่ยน การตัดสินใจก็จะเหมือนเดิม
17.สิ่งที่ต้องแก้ไขคือจิต ไม่ใช่การประดิษฐ์เครื่องย้อนเวลา
18.ไม่ต้องสนใจว่าหุ้นมาจากราคาไหน แต่จงสนใจว่ามันจะไปที่ราคาไหนมากกว่า
19.จากการวิจัยพบว่า เวลาขาดทุนในหุ้นผู้หญิงจะเจ็บปวดมากกว่าผู้ชายอย่างน้อย 30%
20.การซื้อหุ้นถูกตัว ไม่สำคัญเท่าการซื้อหุ้นถูกจังหวะ
21.ถ้าได้เงินมาแบบไม่ใช้สมอง ในที่สุดก็จะสูญเสียมันไปแบบไร้สมอง
22.มีเงินแต่ไม่มีเวลา ดีกว่ามีเวลาแต่ไม่มีเงิน
23.อิสรภาพทางจิตใจ ไม่ขึ้นกับอิสรภาพทางการเงิน
24.แนวต้านที่แข็งแกร่ง ถ้าทะลุผ่านไปได้
มันจะกลับกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง
25.ความสุขที่ได้จาก ศิลปะ ดนตรี และ กีฬา คือความสุข
ที่ไม่ต้องใช้เงินทองอะไรมากมาย
26.เมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง ตัวเลขในสมุดบัญชี
ก็เป็นเพียงภาพมายา
27.มรดกที่ดีที่สุดสำหรับลูกหลาน คือมรดกทางปัญญาและอารมณ์
28.แทงหวยหลายๆๆ ตัวโอกาสถูกมากขึ้น แต่แทงหุ้นหลายๆๆ ตัวโอกาสผิดมากขึ้น
29.จำนวนหุ้นในพอร์ต 5 ตัวเหมาะสมที่สุด
30.ซื้อถูกขายแพง ไม่บาป ในทางกลับกันซื้อแพงขายถูก ก็ไม่ได้บุญ
31.ยิ่งดีใจมากเท่าไรตอนได้ ก็จะทุกข์มากเท่านั้นตอนเสีย
32.การเล่นหุ้น คือการต่อสู้กับใจของตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น
33.ความโลภ คือเมล็ดพันธ์ที่นอนเนื่องในขันธสันดานของมนุษย์ทุกคนตลาดหุ้นคือปุ๋ยชั้นดี
34.บางคนชอบเสียดายตอนหุ้นขึ้น และเสียใจตอนหุ้นตก
แล้วอย่างนี้จะหาความสุขตอนไหน
35.อย่าเอาอารมณ์ของตลาดเข้ามาเป็นอารมณ์ของตัวเอง
36.ถ้าเกิดมาเพื่อเป็นมวยแบบเขาทรายแล้วไปเลียนแบบการชกของสมรักษ์ ก็มีแต่แพ้
37.อิสรภาพทางการเงิน เริ่มต้นที่เงินสิบล้านบาท
38.คนที่รู้เรื่องดาบอย่างลึกซึ้ง ไม่จำเป็นต้องฟันดาบเก่งเสมอไป
39.ไม่มีใครเขามาสงสารนักมวยที่ถูกน็อก เช่นเดียวกับไม่สงสารนักเล่นหุ้นที่ขาดทุน
40.คนที่เคยลิ้มรสชาติของกำไรซึ่งได้มาง่ายๆๆ ยากที่จะเลิกเล่นหุ้น
41.นักเล่นหุ้นทุกคนควรมีเซอร์กิตเบรกเกอร์ของตัวเอง
42.สติคือการรู้ตัวก่อนที่จะซื้อและรู้ถึงผลที่จะตามมา
สัมปชัญญะ คือความรู้ตัวขณะกำลังคลิกซื้อ
43.สิตทำให้เฉลียว สัมปชัญญะทำให้ฉลาด
44.ตลาดหุ้น มีโอกาสใหม่ๆๆ เสมอ วันพระไม่ได้มีหนเดียว
45.จงตระหนักในวันที่ตลาดตระหนก จึงตื่นตัวในวันที่ตลาดตื่นกลัว
46.ต้องวิเคราะห์มากกว่าวิจารณ์ และแก้ไขมมากกว่าแก้ตัว
47.ความคิดเป็นเรื่องของสมอง ความรู้สึกเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ
48.คนที่มีบุญเก่า แค่ซื้อหุ้นตามความรู้สึก ก็รวยได้
49.จงเล่นหุ้นอย่างเหยี่ยว ที่สายตากว้างไกลมององค์รวม
ก่อนจะโฉบลงล่าเหยื่อ
50.การสวนทิศทางความรู้สึก ทำได้ยากกว่าความคิด
51.ร้อยละ 70 ของคนรวยากทั่วโลก ไม่ได้รวยเพราะมรดก
52.คนรวยจะมีรายได้มากกว่าหนึ่งทางเสมอ
53.รายได้มักจะมาจากสามทาง คือรายได้จากเงินเดือน
รายได้จากพรสวรรค์ และรายได้จากดอกผล
54.คนที่เคยไปดิสนี่ย์แลนด์แล้ว จะไม่มีความสุขจากการไปดรีมเวิร์ลอีก
55.ธรรมชาติมอบความสุขให้อย่างยุติธรรมตามกำลังของแต่ละคน
56.ผึ้งก็สามารถหาความสุขแบบผึ้งได้ โดยที่ไม่ต้องไปอิจฉาพญาอินทรี
57.พระภิกษุ มีทั้งอิสรภาพทางการเงิน และอิสรภาพทางใจ
58.คนที่ชอบคิดย้อนอดีต จะไม่มีเวลาสำหรับการคิดถึงอนาคต
59.การทำบุญคือการลงทุนข้ามชาติ
60.ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง โชคเกิดจากการเสวยบุญเก่า
61.วิกฤติคือโอกาส ตอนประท้วงปิดสนามบิน AOT ลงไปที่ 16 บาท ตอนน้ำท่วมใหญ่ KCE ลงไป 4 บาท
ตอนวิกฤติน้ำมัน PTT ตกไปที่ 198 บาท
62.สอนให้ลูกรู้จักลงทุน ดีกว่าลงทุนไว้ให้ลูก
63.ระหว่างบำเหน็จที่ได้ทันที 600,000 กับบำนาญที่ได้ตลอดชีวิตเดือนละ 6,000 คนกล้าเสี่ยงจะเลือกบำเหน็จ
64.บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์มักจะช้ากว่าตลาดก้าวหนึ่งเสมอ
65.เงินเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ แต่เป็นเจ้านายที่โหดร้าย
66.การพยากรณ์หุ้น มีความแม่นยำน้อยกว่าการพยากรณ์อากาศ
67.ในตลาดหุ้น เหตุผลมักแพ้อารมณ์
68.ซื้อหุ้น New High ดีกว่าซื้อหุ้น New Low
ตัดขายหุ้น New Low ดีกว่าตัดขายหุ้น New High
69.นักเล่นหุ้นที่ดีต้องเป็นได้ทั้งบ๊อกเซอร์ตอนหุ้นลง
และไฟท์เตอร์ตอนหุ้นขึ้น
70.เล่นกีฬายังมีการขอเวลานอกตอนเพลี่ยงพล้ำ
เล่นหุ้นก็ต้องรู้จักขอเวลานอกให้ตัวเอง
71.ไม่มีกีฬาใดที่จำนวนผู้เล่นมากกว่า 11 คน เพราะโค้ชดูแลไม่ทั่วถึงหุ้นก็เช่นเดียวกัน 12 ตัวในพอร์ตมากเกินไป
72.ระดับการศึกษาไม่ได้แปรผันตามความสามารถในการเล่นหุ้น
73.เวลาลงทุนพลาดให้โทษตัวเอง แม้ว่าสิ่งแวดล้อมจะมีส่วนบ้างก็ตาม
74.อดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่อนาคตอยู่ในกำมือ
75.ศึกษาอดีต ทำให้หยั่งรู้อนาคต
76.ทุกๆๆ ปี ตลาดหุ้นจะมีช่วงที่หุ้นตกหนัก รอสวนช่วงนั้นปลอดภัยที่สุด
77.ในการซื้อหรือขายหุ้น ควรแบ่งออกเป็นสามจังหวะ
และเหลือไว้ซื้อหรือขายในจังหวะที่สาม 50%
78.ทุกครั้งที่ขายหุ้นที่ได้กำไรออกไป ต้องตัดขายหุ้นในพอร์ตที่ขาดทุนออกไปด้วย
79.ตลาดขาขึ้นต้องซื้อให้เร็วที่สุด ตลาดขาลงต้องขายออกให้เร็วที่สุด
80.คนคิดบวก จะระวังแต่ไม่ระแวง จะตะหนักแต่ไม่ตระหนก
81.นักวิ่งมาราธอนมาวิ่ง 100 เมตรก็แพ้ นักลงทุนระยะยาวมาเล่นระยะสั้นก็พลาด
82.นักเล่นหุ้นควรมีงานอดิเรกประจำตัว เพื่อใช้เบี่ยงเบนจิตออกจากตลาด
83.ควรประเมินผลงานการลงทุนของตัวเอง ทุกๆๆ สามเดือน
84เงินเก็บล้านแรกยากที่สุด ล้านต่อๆๆไปจะง่ายขึ้นเรื่อยๆๆ
85.แนวรับ แนวต้าน เป็นเรื่องสำคัญมากในทางจิตวิทยาการเล่นหุ้น
86.อย่าไปพยายามแก้ตัวกับหุ้นที่เคยขาดทุน แต่ให้ไปเอาคืนกับหุ้นที่เคยกำไร
87.หุ้นบางตัวเหมือนภูเขาไฟฟูจี ดูสวยแต่เนื้อในไม่มีอะไรเลย
88.เงินที่อยู่นิ่งไม่มีพลัง เหมือนน้ำที่อยู่ในเขื่อน ถ้าต้องการให้เงินทำงาน ต้องให้มันเคลื่อนไหว
89.คนรวยได้ดอกผล คนจนเสียดอกเบี้ย
90.อย่าคร่ำครวญ เสียดายน้ำนมที่หกลงพื้นไปแล้ว
91.การยึดติดกับราคาในอดีต คือกับดักของนักเล่นหุ้น
92.สปริงที่ทนการหดตัว 10% ไม่ได้ ก็จะทนการยืดตัว 10% ไม่ได้เช่นกัน
93.นักมวยต้องเก็บแรงไว้รอสวนเสมอ นักลงทุนต้องเก็บเงินสดไว้บ้างเผื่อจังหวะดีๆๆ
94.คนเล่นหุ้นจะมีภพชาติย่อยๆๆ อยู่ตลอดเวลา บางวันขึ้นสวรรค์ บางวันลงนรก
95.เมื่อ "ขายหมู" จงยินดีที่คนซื้อต่อจากเราไป ได้กำไร
96.ช่วงที่รู้สึกว่ามือตก สติหาย ให้หยุดลงทุน
97.วิกฤติหนักจะมาทุก ๆๆ 10-12 ปีป หุ้นจะตกมากกว่า 50%
98.กล้าได้ ต้องกล้าเสีย ไม่ใช่หวังจะได้อย่างเดียว
Credit : หนังสือจิตของนักเล่นหุ้น โดยทันตแพทย์สม สุจีรา

วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กฏธรรมชาติของหุ้นที่จะขึ้น

1)  หุ้นจะขึ้นเมื่อมีการซื้อ Offer ในราคาที่ผิดธรรมชาติ
   แนวคิด:  ทำไม อยู่ดีๆ ถึงมีคนยอมซื้อแพง ทั้งๆที่ สามารถซื้อถูกได้
   สาเหตุ :  เวลาคนจะสร้างราคา เขาจะต้องทำให้ราคาขึ้น ถ้าไม่ยอมซื้อขวา ราคาก็ไม่มีวันขึ้น

2) ในจังหวะหุ้นที่จะขึ้นจริง คนสร้างราคา เขาจะไม่ทำให้เราได้ซื้อง่ายๆ เพราะเราจะมักไม่เคยซื้อได้ทัน สำหรับราคาที่ดี
     แนวคิด:  ทำไม มีการรวบ  offer  ไม้ใหญ่ๆ ยกช่อง หรือ การรวบแล้ว เติม Bid โดยทันที
      สาเหตุ :  เวลาคนจะสร้างราคา ถ้าเมื่อเป็นจังหวะที่จะเล่นเร็ว เขาจะต้องทำให้ ราคาขึ้นเร็วที่สุดเพื่อให้ห่างจากทุนในการทำราคา เพราะ ถ้าเป็นเรา เราคงอยากให้ ไปไกลจากทุนเรามากที่สุด ในเวลาสั้น ก่อนมีใครจะมาทิ้งหุ้นใส่

3) เวลาหุ้นก่อนจะขึ้นเป็น trend ยาวๆ กราฟเทคนิค มันจะบอกว่า ให้ขายสะ

       แนวคิด :  ทำไม มีการสร้างกราฟเทคนิคให้ขายก่อนขึ้น
       สาเหตุ :  ของดีมักไม่มีใครอยากแบ่ง อยากได้ของให้อยู่ในมือมากที่สุด แล้วค่อยไปขายให้ได้ราคาสูง ในจำนวนที่พอใจ

4) เวลาหุ้นขึ้นแรง มักเปิดราคากระโดด

       แนวคิด : หุ้นที่ขึ้นแรงๆ มักราคาเปิดกระโดด ผ่าน ราคาที่ผิดธรรมชาติ อย่างแนวต้านที่ไม่เคยผ่าน
        สาเหตุ :  กฎการสร้างราคา คนสร้างราคา ต้องทำให้ ราคาขึ้นอย่างรวดเร็ว ป้องกันการขายหุ้นใส่ ถ้ายิ่งมีคนขายใส่มากเท่าไหร่ ภาระของคนทำราคา จะเหนื่อยมากเท่านั้น ในการจะทำราคาขึ้น เพราะ ต้นทุนจะสูงขึ้นไปด้วยโดยทันทีกับการรับของคนที่ขายใส่เพื่อทำราคาไม่ให้ลง

  กฎให้ท่องจำและฝึกฝน
         
             " อย่ากลัวหุ้นเปิดโดด อย่ากลัวการซื้อแบบหวดขวาที่ offer  เพราะ มันคือ กฎธรรมชาติ เวลาที่หุ้นจะขึ้น  แต่เพียงแค่เราจะควบคุมความเสี่ยงอย่างไรกับ การซื้อแบบพฤติกรรมหุ้นขึ้น

Cr โค้ชเหว่ง super trader republic

cahttradingview

AAPL ชาร์ต โดย TradingView