วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เจ้าความฝัน

นิทานการตลาด ตอนที่ 31



เคยมีคนกล่าวไว้ว่า... “หากใจคุณคิดถึงสิ่งใด สายตาของคุณก็จะมองเห็นสิ่งนั้น” ผมถือเป็นคำกล่าวที่ทำให้ผมเข้าใจตัวเองได้ไม่น้อย เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาของผม ความสำเร็จทั้งปวงของชีวิตผม ล้วนเริ่มต้นจากความฝันของผมทั้งสิ้น ใครจะไปคาดคิดว่า ..เด็กกะโปโล ตัวผอมๆ คนหนึ่ง ที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน มีผลการเรียนลับดับท้ายๆ ของห้องเรียนมาตลอด และสอบตกแทบทุกเทอม แล้ววันหนึ่งชีวิตจะพลิกผัน ก้าวสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากมาย และวันนี้ผมจึงอยากที่จะเล่าให้กับเพื่อนๆ ได้รับรู้ว่า..ปมพลิกชีวิตของผมมันคืออะไรกันแน่

ลองนึกภาพเด็กโง่วิชาภาษาอังกฤษถึงขนาด เรียนหนังสือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วแต่ยังเขียนคำว่า TEACHER ที่แปลว่าคุณครูไม่เป็น ต้องถูกคุณครูยุพดี ตีที่หน้าชั้นเรียนจนสามารถเรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ ในห้องเรียนอยู่เป็นประจำ แล้ววันหนึ่งเด็กโง่คนนั้น สามารถสอบชิงทุนเป็นยุวทูตไทยขององค์การยูเนสโก้ได้สำเร็จ ความจริงประเด็นนี้ผมถือว่าปมพลิกชีวิตมันไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่มันเกิดจากแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ของผม ที่ต้องการจะลบภาพเด็กโง่ภาษาอังกฤษของตัวเองให้ได้

ใครจะไปเชื่อในวันที่ผมตัดสินใจไปสมัครสอบชิงทุนโครงการยุวทูตไทยขององค์การยูเนสโก้ ผมไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะเขียนใบสมัครด้วยตัวเองด้วยซ้ำไป ผมยังจำได้ไม่เคยลืมเลือนว่าเพื่อนผมชื่อ “ชัยยะ” ผู้ซึ่งมีความรอบรู้ด้านภาษาอังกฤษอย่างมากในเวลานั้น เป็นคนช่วยผมอย่างมาก เริ่มต้นจากช่วยแปลใบสมัครเป็นภาษาไทยให้ผมก่อน เพื่อให้ผมเข้าใจว่าใบสมัครนั้นเขาต้องการให้ผมกรอกว่าอะไร แล้วผมก็กรอกเป็นภาษาไทย และเพื่อนก็เอาไปเปลี่ยนเป็นคำภาษาอังกฤษให้ ... ลองนึกตามดูซิครับ ว่าเป็นเรื่องน่าขันมากแค่ไหน ขนาดกรอกใบสมัครยังไม่เป็น แต่ยังนึกฝันจะสอบชิงทุนเป็นยุวฑูตไทย แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ในที่สุดผมได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 10 คนไทย ได้เข้าร่วมโครงการแค้มเยาวชนขององค์การยูเนสโก้ได้สำเร็จ และถือว่านั่นคือ จุดพลิกชีวิตครั้งแรกของผมสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อีกมากมายในเวลาต่อมา

วันนี้ผมคงไม่เล่าประวัติอีกมากมายที่อาจฟังดูน่าเบื่อ แต่ผมจะนำเสนอวิธีคิดของ “เจ้าความฝัน” ว่าเงื่อนของการพลิกชีวิตนั้นจะต้องประกอบไปด้วยขั้นตอนอะไรบ้างมากกว่านะครับ ซึ่งผมยืนยันได้ว่า ผมเคยใช้วิธีเดียวกันที่จะเขียนในวันนี้ กับคนสนิทของผมไม่น้อยกว่า 100 คน แล้วคนเหล่านั้นก็สามารถพลิกชีวิตได้จริงมาแล้วนะครับ และผมก็ยังเคยนำเสนอวิธีคิดเดียวกันนี้อีกนั่นล่ะ ให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ มากกว่า 10 มหาลัยที่ผมเคยรับเป็นอาจารย์พิเศษ เพื่อให้เขานำไปปฏิบัติ และต่อมานักศึกษาจำนวนไม่น้อยก็สามารถพลิกชีวิตได้จริง ตามคำแนะนำของผม ซึ่งขั้นตอนจะมีดังต่อไปนี้นะครับ

ขั้นตอนที่ 1 คือ ให้ทุกคนหยิบกระดาษว่างๆ มา 1 ใบพร้อมปากกา จากนั้นก็ค่อยๆ นึกอย่างมีสติว่า..ถ้าหากเรามีโอกาสได้ครอบครองตะเกียงวิเศษ และได้เจอกับยักษ์จินนี่ และยักษ์ก็ให้โอกาสเราขอพรวิเศษอะไรก็ได้ 10 ข้อ เราจะขออะไรดี แต่ข้อแม้มีอยู่ว่า เราต้องขอเพียง 10 ข้อเท่านั้น ขอมากกว่านี้ไม่ได้ และขอน้อยกว่านี้ก็ไม่ได้

ขั้นตอนที่ 2 หลักเกณฑ์การขอ จะต้องบอกชัดๆ ให้เป็นรูปธรรมว่าตัวเองอยากได้อะไรที่เป็นรูปธรรม และอยากได้ขนาดไหน อยากได้เท่าไหร่ อยากได้วันที่เท่าไหร่ ยิ่งอธิบายภาพของสิ่งที่เราอยากได้ให้เห็นชัดเจนมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะขอพรนั้นแล้วสมหวังดั่งใจก็จะเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น อยากมีบ้านของตัวเองราคา 100 ล้านบาท ภายในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 3 ไปหาภาพสิ่งที่เราต้องการ 10 อันดับจากข้อที่ 2 ซึ่งภาพจะต้องใกล้เคียงกับสิ่งที่เราอยากได้มากที่สุด ยิ่งใกล้เคียงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้จะต้องเป็นภาพสี ที่เหมือนความจริงมากที่สุด ให้เรานึกได้ทันทีเมื่อเห็นภาพนั้นว่า ... นั่นล่ะคือสิ่งที่เราอยากได้จริงๆ

ขั้นตอนที่ 4 ให้เรียงลำดับความสำคัญของความฝันเราทั้ง 10 ข้อ ว่าเราอยากให้ความฝันข้อไหนของเราเกิดขึ้นก่อน และค่อยๆ เรียงลำดับความอยากได้จากเรื่องเล็กสุด ไปสู่เรื่องที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 10 แต่ขอย้ำว่าห้ามขอน้อยกว่า 10 ข้อ และห้ามขอในข้อใดข้อหนึ่งว่า “ให้สามารถขอได้อีกโดยไม่จำกัด”

ขั้นตอนที่ 5 ลงมือปฏิบัติล่าความฝันและผันให้เป็นความจริง ในทุกๆ ข้อที่เราฝันไว้ เช่น ฝันว่าต้องการเรียนจบด๊อกเตอร์ ก็ให้ถามตัวเองว่าตอนนี้เรียนระดับไหนอยู่ แล้ววางแผนทันทีว่าเราอยากเรียนจบด๊อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยใด ค่าเรียนกี่บาท เขาเรียนกันยังไง สมัครเรียนได้ยังไง เตรียมเรียนกันยังไง และมีกระบวนการที่จะได้เรียนปริญญาเอกให้สำเร็จได้อย่างไรบ้าง ซึ่งผมรับประกันว่าถ้าเราตั้งความฝัน แล้วศึกษาขั้นตอนอย่างละเอียดตามที่ผมบอกไป รับประกันได้ว่าเราจะได้เป็นด๊อกเตอร์อย่างแน่นอน และฝันข้ออื่นๆ ก็ให้ทำแบบเดียวกัน คือ ให้ไปศึกษาวิธีการอย่างละเอียดว่าเราจะทำให้ฝันเป็นจริงได้อย่างไรบ้าง

ขั้นตอนที่ 6 เริ่มประกาศฝัน 10 ประการของเรากับทุกคนรอบข้าง และทุกคนที่เรามีโอกาสพูดให้เขาฟัง และพูดให้บ่อยที่สุดเท่าที่มีโอกาส และหาโอกาสที่จะคอยขอคำชี้แนะจากบางคนที่เรามีค่าคาดหวังว่าเขาอาจช่วยทำให้ฝันของเราเป็นจริงได้ และอย่ารีรอที่จะเข้าพบคนที่เกี่ยวข้อง ที่เราเห็นว่าเขาพอจะช่วยเราได้อย่างจริงจัง

ขั้นตอนที่ 7 เตรียมตัวรับมือกับความฝันที่จะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เพราะบ่อยครั้งที่เม่อเราประสบความสำเร็จในความฝันแล้ว เพิ่งจะนึกได้ว่า รู้งี้ไม่ฝันที่จะได้ดีกว่า ยกตัวอย่างเช่น ฝันอยากมีภรรยาเป็นนางงามจักรวาล แต่พอวันหนึ่งได้แต่งงานกับนางงามจักรวาลจริงๆ กับตัดสินใจเลิกกัน ซึ่งความเสียหายมันอาจจะประเมินค่าไม่ได้กันเลยทีเดียว

ขั้นตอนที่ 8 ย้อนกลับไปอ่านข้อที่ 1 ใหม่แล้ววนจนครบถึงข้อที่ 7 และให้อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกวันจนกว่าฝันทั้ง 10 ข้อจะกลายเป็นจริงขึ้นมาจนหมดสิ้น จากนั้น ถ้าใครคิดจะฝันใหม่ ก็ยินดีให้ตั้งความฝันใหม่อีก และให้ปฏิบัติตามขั้นตอนทั้งหมดนี้เวียนวนไปเรื่อยๆ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง

ผมขอยืนยันว่า นับจากปี 2528 ผมเคยใช้กระบวนการแห่งความสำเร็จนี้มาแล้ว และได้ประสบความสำเร็จในฝัน 10 ประการของผมมากแล้วหลายรอบ ซึ่งหมายถึงฝัน 10 ข้อได้ครบหมดแล้ว จึงเริ่มต้นฝัน 10 ข้อใหม่อีก แล้วก็สำเร็จหมดทุกข้ออีก จึงต้องฝันใหม่ 10 ข้อซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้งหลายครา และแม้แต่วันนี้..ขณะที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ ผมก็ได้เริ่มต้นตั้งความฝัน 10 ข้อขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าครั้งนี้น่าจะเป็นการฝันรอบที่ 5 ของชีวิตแล้ว และไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นฝันรอบสุดท้ายของชีวิตผมก็เป็นไปได้ ... หากใครอยากรับรู้ ผมรับปากว่า ผมจะมาเล่าให้ฟังในวันหน้านะครับ

ท้ายนี้ ผมขออวยพรให้ทุกคนมีความสุขที่จะตั้งความฝันเป็นของตัวเองขึ้นมาโดยเร็ว เพราะมันจะเปรียบเสมือนเป็นเข็มทิศแห่งความสำเร็จของชีวิตเราเลยทีเดียว อย่างน้อยถ้าเรากล้าฝันว่าเราอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไร มันก็จะทำให้เรามีสิทธิ์สมหวังไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าหากเราไม่กล้าฟันธง ชีวิตของเราไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน เพราะความสำเร็จของชีวิต ... ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ แต่มันต้องเกิดจากแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ ประกอบกับความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นและเดิมพันกับชีวิตเท่านั้น ฝันของเราจึงจะเป็นจริงได้


โดย อาจารย์วรกร ชำนาญไพศาล
เขียนเมื่อ วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556


วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทางรอดธุรกิจค้าปลีกไทย

นิทานการตลาด ตอนที่ 30



เพื่อเป็นการลดข้อกังขาสำหรับท่านผู้ติดตามนิทานการตลาดของผมมาแล้วถึง 29 ตอน ที่อาจมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า เจ้าของธุรกิจร้านโชวห่วยไทยจะเอาเครื่องมืออะไรไปต่อสู่กับพญาช้างศาลได้ ในเมื่อองค์ประกอบแทบทุกข้อ โชวห่วยไทยแทบจะมองไม่เห็นหนทางที่จะรอดได้เลย ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องเขียนนิทานอีกหนึ่งตอน ก่อนที่จะเดินกลางไปส่งคุณแม่ที่ภูเก็ตเป็นเวลา 3-4 วันเสียก่อน อย่างน้อยก็พอจะสามารถทำให้ใครต่อใคร ได้คลายข้อกังขาลงไปได้บ้าง

ผมขออนุญาตที่จะเขียนเรื่องราวต่อจากตอนที่ 26 ที่พูดถึงกรณี “มดล้มช้าง” เลยนะครับ ในตอนที่ผมได้เล่าไปแล้วนั้น ผมได้พูดถึงประเด็นจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติไปแล้ว และผมก็ได้พูดถึงประเด็นจุดอ่อนของธุรกิจค้าปลีกไทยด้วย มาวันนี้ผมจะพูดถึงแนวทางที่เราจะทำให้ธุรกิจค้าปลีกของคนไทย สามารถเอาตัวรอดภายใต้ซอกเท้าช้างให้ได้เลยทีเดียว ซึ่งวิธีการจะรอดได้ต้องประกอบไปด้วยปัจจัยต่อไปนี้คือ

1. การเลือกทำเลที่ตั้งร้านที่ถูกต้องและเหมาะสม ในประเด็นนี้ถ้าหากจะวิเคราะห์เพื่อการวางแผนเปิดร้านใหม่ ก็จำเป็นจะต้องมีการเลือกทำเลที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิธีคิดของร้านค้าปลีกยุคใหม่อย่างสมบูรณ์ ซึ่งผมจะหาโอกาสมาเล่านิทานเรื่องการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งในวันหน้านะครับ แต่วันนี้ผมจะแนะนำประเด็นของร้านที่เปิดกิจการไปนานแล้วก่อนจะดีกว่า ซึ่งขั้นตอนง่ายๆ ก็คือ ไปเอากระดาษขนาด A-4 มาจำนวนหนึ่งใบ แล้ววาดวงกลมเล็กๆ ตรงกลางกระดาษแล้วก็เขียนในวงกลมว่า “ร้านของเรา” จากนั้นก็ตั้งใจวาดแผนที่ร้านในรัศมี 500 เมตร คือ นับไปข้างหน้า ข้างหลัง ด้านซ้ายและด้านขวาของร้านในระยะทางห่างจากร้านด้านละ 500 เมตรนั่นเอง จากนั้นก็ค่อยๆ เติมรายละเอียดลงไปว่าในรัศมี 500 เมตรจากร้านเรานั้น มีโรงเรียนกี่แห่ง มีโรงพยาบาลกี่แห่ง มีหมู่บ้านจัดสรรกี่แห่ง มีแหล่งสำคัญๆ ที่เอื้อต่อโอกาสในการขายสินค้าของเราอะไรบ้าง ยิ่งเขียนได้ละเอียดมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะสำเร็จก็มากเท่านั้น เพราะทำเลที่แตกต่างกัน สินค้าขายดีก็จะไม่เหมือนกันนะครับ

2. การจัดร้านและการตกแต่งร้านที่สวยงามและเป็นระเบียบ ในประเด็นนี้ ผมขอแนะนำให้เจ้าของร้านตัดสินใจเลือกใช้ชั้นวางสินค้าตามรูปแบบร้านค้าปลีกสมัยใหม่เป็นอันดับแรก จากนั้นก็กำหนดแผนผังในร้านค้าว่าจะวางชั้นสินค้าอย่างไร แล้วค่อยมากำหนดหมวดหมู่สินค้า ตามแผนผังหลักของร้าน และถ้าหากทุกท่านนึกภาพไม่ออก ผมแนะนำให้เดินเข้าไปในร้าน 7-ELEVEN แล้วค่อยๆ นำมาเลียนแบบรูปแบบการจัดวางเลย จะถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะการเข้ามาเปิดตัวของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ถือว่ามีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ได้มีร้านต้นแบบให้คนไทยได้นำมาเป็นตัวอย่างในการปรับปรุงรูปแบบร้านค้าของตัวเองได้สะดวกขึ้นนั่นเอง

3. การคัดเลือกสินค้าที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า ข้อนี้หลายคนอาจนึกว่า ร้านโชวห่วยต้องไม่มีเงินทุนเพียงพอที่จะไปจ้างนักบริหารสินค้ามีดีมาช่วยในการคัดเลือกสินค้าแน่ๆ แต่ผมก็จะแนะนำทางลัดสู่ความสำเร็จให้แบบง่ายๆ สบายๆ ก็คือ ไม่ได้ไปจ้างใครให้เปลืองเงิน ถ้าเรานึกไม่ออกว่าเราควรขายยาสีฟันยี่ห้อไหนดี เราก็ไปดูที่ร้าน 7-ELEVEN ว่าเขาขายยี่ห้ออะไร แล้วเราก็ตัดสินใจตามเขาได้เลยโดยไม่ต้องลังเล เพราะ 7-ELEVEN เขาวิเคราะห์มาอย่างดีเยี่ยมแล้ว ว่ายี่ห้อนั้นจะต้องขายดีแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่สั่งมาขายให้เกะกะพื้นที่อันมีค่าของเขาแน่ๆ และสินค้าตัวอื่นๆ ก็ใช้วิธีคิดเดียวกันนี้ล่ะ ถือว่าง่ายที่สุดแล้วครับ

4. การบริการและการจัดการภายในร้านที่ดี ข้อนี้ถ้าคิดกันแบบสบายๆ ถือว่า ไม่ได้เป็นเรื่องยากใดๆ เลย แค่เรารู้จักสร้างบรรยากาศในร้านให้มองดูสะอาด และสบายตา ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องทำคือ เพิ่มหลอดไฟฟ้าจากที่มีอยู่เดิม อย่างต่ำ 2 เท่า เพราะผมเดินทางสำรวจร้านโขวห่วยทั่วไทยเกินกว่า 10,000 แห่ง จุดอ่อนคือ ในร้านจะมืดมาก หลอดไฟน้อยมาก ทำให้บรรยากาศในร้านดูมืด ไม่น่าเข้ามาซื้อสินค้าเลย ถ้าไม่กล้าตัดสินใจก็ลองไปเดินนับหลอดไฟในร้าน 7-ELEVEN ก็จะได้รู้ว่าในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นแต่ละสาขา เขาใช้หลอดไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 50 หลอดกันเลยทีเดียว นอกจากจะต้องเพิ่มความสว่างภายในร้านแล้ว สิ่งสำคัญคือ ควรกำหนดชุดเสื้อผ้าพนักงานให้มองดูเป็นระเบียบด้วย ไม่ใช่พนักงาน 5 คนแต่งตัวตามสบายกันคนละแบบ ก็จะทำให้มองดูร้านของเราขาดมาตรฐานที่สวยงามไปเลย

5. การบริหารด้านการตลาดและการส่งเสริมการขายที่เหมาะสม ข้อนี้ถือว่าเป็นข้อที่ยากมากที่สุด เอาไว้ผมจะมาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดในโอกาสต่อไปจะดีกว่านะครับ แต่ในวันนี้จะขออธิบายเบื้องต้นก่อนว่า กิจกรรมส่งเสริมการขาย ถือเป็นเครื่องมือที่ดีแน่นอน สำหรับธุรกิจค้าปลีกทุกรูปแบบในประเทศไทย

6. การจัดการด้านระบบข้อมูลทางด้านสาระสนเทศที่ถูกต้อง ในประเด็นนี้ผมได้อธิบายอย่างดีแล้วในตอนที่ 24 เรื่องเริ่มต้นทำระบบสาระสนเทศอย่างง่าย ผมขอแนะนำให้ทุกท่านย้อนกลับไปอ่านซ้ำได้เลยนะครับ ส่วนท่านใดที่ตัดสินใจใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปก็ขอให้ตั้งคำถามเข้ามาถึงผมทางอีเมลได้นะครับผมจะอธิบายเป็นรายๆ ไป

7. การบริหารด้านบุคลากรและการพัฒนาอบรม ประเด็นนี้อาจดูไกลตัวไปสักนิดสำหรับร้านโชวห่วยเกือบทั่วประเทศไทย เพราะโดยปกติแล้วร้านโชวห่วยเกือบทั่วประเทศไทย มักจะค้าขายกันเองเป็นธุรกิจในครอบครัว ซึ่งสมาชิกในครอบครัวก็จะช่วยๆ กัน เอาไว้ท่านใดต้องการคำอธิบายที่พิเศษในกรณีที่ต้องจ้างบุคลากรจำนวนมาก ผมค่อยอธิบายเพิ่มเติมในโอกาสหน้านะครับ

คราวนี้มาดูข้อสรุปว่าทางรอดธุรกิจค้าปลีกไทยภายใต้ซอกเท้าช้างนั้น จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นก่อนว่า ความรู้ต่างๆ ในด้านการบริหารจัดการ ทุกคนสามารถตามทันกันได้หมด ไม่ว่าเทคโนโลยีจะสูงล้ำสักแค่ไหน วันหนึ่งก็มีคนตามกันทันเสมอๆ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ธุรกิจค้าปลีกโมเดิร์นเทรดไม่มีทางแข่งกับร้านโชวห่วยได้เลยก็คือ การควบคุมต้นทุนในการบริหารจัดการภายในร้านนั่นเอง ฉะนั้นถ้าเราพัฒนาร้านของเราให้สวย เราก็สามารถศึกษาจากร้านโมเดิร์นเทรดได้ เราจะเลือกสินค้าเด่นๆ เราก็เลือกตามเขาได้ แม้แต่การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งร้านค้าเราก็พัฒนาปรับปรุงได้ทันเขา แต่เรื่องการควบคุมค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำ-ค่าไฟ ค่าวัสดุสิ้นเปลือง ผมรับประกันได้ว่า ... งานนี้ร้านโชวห่วยชนะตั้งแต่ยังไม่ต้องต่อสู้ด้วยซ้ำไป

หมากเด็ดที่สุด ที่ชาวโชวห่วยทุกคนต้องภูมิใจเป็นที่สุดก็คือ ร้านโชวห่วยแทบทุกแห่งทั่วประเทศไทย ผู้จัดการร้าน หรือผู้บริหารร้านคือเจ้าของร้านนั่นเอง ซึ่งความเป็นเจ้าของร้านก็จะทุ่มเท ดูแลกิจการของตนเทียบเท่ากับการดูแลชีวิตตัวเองเลยทีเดียว เพราะมันคือ แหล่งรายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องทุกคนในครอบครัว แต่ขณะเดียวกัน พนักงานทุกระดับในธุรกิจโมเดิร์นเทรดคือลูกจ้าง และไม่มีลูกจ้างที่ไหนจะทุ่มเททำงานจนสุดชีวิตเสมอเหมือนเขาเป็นเจ้าของกิจการอย่างแน่นอน และถ้าใครคิดตามผมมาตั้งแต่บรรทัดแรก...ผมสามารถรับประกันได้เลยว่า “โชวห่วยรอดแน่นอนครับ”


โดย อาจารย์วรกร ชำนาญไพศาล
เขียนเมื่อ วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หุ้นราคาเบรคหุ้นเบรคราคา

1.หุ้นราคาเบรค200วัน คือ 2.หุ้นโวลุ่มเบรค200วัน คือ 3.สูตรบัวพ้นน้ำ คือ 4.สูตรยกไฮยกโลว์ คือ 5.สูตรตั้งลำ คือ 6.สูตรดั้งเดิม คือ คำถาม...