วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ลงทุนแบบ เบน เกรแฮม

  Value Value tor ที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นไทยในช่วงประมาณ 10-15  ปีที่ผ่านมานั้น  ผมคิดว่ามักอยู่ใน 2 กลุ่มคือ  กลุ่มแรกเน้นการลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก”  สไตล์แบบวอเร็น บัฟเฟตต์  ส่วนกลุ่มที่สองเน้นลงทุนหุ้นธรรมดาที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงสไตล์เบน เกรแฮม  อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนในกลุ่มหลังนั้นจะฉีกแนวออกจากวิธีการของเบน เกรแฮมในแง่ที่ว่าพวกเขามักจะลงทุนในหุ้นตัวเล็กที่มีความไม่แน่นอนของผลประกอบการสูง  ลงทุนแบบเน้นหนักในหุ้นน้อยตัวมากและมักจะซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จินเต็มที่  นอกจากนั้นยังมีแนวทางการลงทุนอีกหลายอย่างที่ไม่เหมือนเกรแฮมเลย  อาจจะพูดได้ว่าสิ่งเดียวที่เหมือนเบน เกรแฮมก็คือการวิเคราะห์หามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นและซื้อเมื่อราคาต่ำกว่านั้นมาก ๆ และขายเมื่อหุ้นขึ้นไปเกินมูลค่าแล้ว

    สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไป  หุ้นซุปเปอร์สต็อกราคาไม่ถูกเลย  ราคาหุ้นถึงจะไม่ลงมากแต่ก็ขึ้นช้ามาก  ส่วนหุ้นตัวเล็กที่ถูกเล่นในแนวของเบนเกรแฮมนั้น  หลายตัวมีราคาตกลงมามาก  กำไรที่เคยทำได้หดหายลงไปไม่น้อย  เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยนั้นแม้ว่าจะไม่ได้เกิดวิกฤติแต่ก็ชะลอตัวลงมาก  แรงเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อยที่เป็นตัวขับเคลื่อน “หุ้น VI” ของไทยในอดีตหดหายไปมาก  นี่เป็นเหตุผลที่ผมเริ่มคิดว่าเราจะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั่นก็คือ  ลงทุนแบบ Conservative หรือระมัดระวังมากขึ้นและไม่หวังผลเลิศ  และกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือ  การลงทุนแบบ เบน เกรแฮม ดั้งเดิมที่ถูกออกแบบมาในช่วงที่ตลาดหุ้นเงียบเหงาคนไม่สนใจการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลังวิกฤติตลาดหุ้นครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นอเมริกาหลังปี 1929

    เกณฑ์การเลือกหุ้นแนว เบน เกรแฮม ดั้งเดิมนั้น  จะต้องเป็นหุ้นที่มีราคาถูกหรือถูกมาก  ถ้าวัดจากค่า PE ผมคิดว่าไม่ควรเกิน 10 เท่า  และที่สำคัญกำไรนั้นจะต้องมีความมั่นคงสูง  ซึ่งกำไรจะเป็นแบบนั้นได้ผมคิดว่าเราต้องเน้นหุ้นที่มีขนาดใหญ่พอสมควร  Market Cap. น่าจะต้องหลายหมื่นล้านขึ้นไป  สินค้าที่บริษัทขายมีความผันผวนของมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายไม่สูง  และถ้าจะให้มั่นใจขึ้นไปอีก  เราก็ควรจะมองย้อนหลังไปซัก 3-4 ปีว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทไม่เคยต่ำกว่านั้น  เกรแฮมเองบอกว่าเราไม่ควรจะใช้กำไรปีล่าสุดปีเดียว  แต่ให้ใช้กำไรต่อหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี เป็นตัวคำนวณค่า PE ล่าสุด

    การเติบโตของกิจการนั้น  เบน เกรแฮม เน้นว่าจะต้องเป็นการเติบโตที่แท้จริงในระยะยาวไม่ใช่การขยายตัวของยอดขายและกำไรในระยะสั้น ๆ  ปีสองปี   ถ้าจะยึดแนวเกรแฮมอย่างเคร่งครัด  เราควรจะเอาตัวเลขผลประกอบการย้อนหลังซัก 10 ปี   คำนวณหากำไรเฉลี่ย 3 ปีล่าสุด  เปรียบเทียบกับกำไรเฉลี่ย 3 ปีแรก  แล้วมาคำนวณว่าบริษัทมีกำไรต่อหุ้นเติบโตเฉลี่ยปีละกี่เปอร์เซ็นต์  และนี่ก็คือการเติบโตอย่างแท้จริง  ซึ่งก็แตกต่างจากการเติบโตที่ VI ไทยใช้ที่มักจะดูกันแค่ปีหรือสองปี  ประเด็นนี้อาจจะมีข้อถกเถียงว่าบริษัทในตลาดหุ้นไทยจำนวนมากเพิ่งจะเข้าตลาด  สถิติที่แสดงให้เห็นมีแค่ 3-4 ปี ดังนั้นจึงใช้วิธีคิดแบบนั้นไม่ได้  สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการคาดการณ์ไปในอนาคตโดยการวิเคราะห์จากข้อมูลล่าสุดบวกกับการรับฟังกลยุทธ์ของบริษัทจากผู้บริหาร

    ถ้าถามว่าเบน เกรแฮมจะแก้อย่างไรสำหรับประเด็นดังกล่าว  คำตอบก็คือ  เขาไม่เชื่อว่าเราจะคาดการณ์การเติบโตได้ถูกต้อง  เบน เกรแฮม คงเคย “ถูกหลอก” จากผู้บริหารบริษัทมามากในช่วงที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นเฟื่องฟู  ทำให้เขาไม่ค่อยเชื่อผู้บริหาร  และก็มักจะไม่ไปพบหรือฟังผู้บริหารนัก  เขาสนใจที่จะดู  “ของจริงจากตัวเลข”  ที่ยาวนานเพราะมันไม่หลอก  ถ้าบริษัทไม่มีตัวเลขนั้นเพราะเป็นบริษัทใหม่ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่นานเขาก็คงจะไม่สนใจที่จะซื้อหุ้นตัวนั้นเพราะผลประกอบการที่แท้จริงเพียงปีสองปีอาจจะเชื่อถือไม่ได้มากนัก

    ความเสี่ยงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในสายตาของเบนเกรแฮม  กฎสำคัญของเขาในการลงทุนแบบ VI ก็คือ  การทำกำไรและลดความเสี่ยงลงให้เหลือน้อยที่สุด  แนวทางหนึ่งที่เขาใช้โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นเลวร้ายที่สุดก็คือ  การหาหุ้นของบริษัทที่มีทรัพย์สินหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องสูงลบด้วยหนี้ทั้งหมดแล้วยังมีมูลค่ามากกว่า Market Cap. หลายสิบเปอร์เซ็นต์  ซึ่งบริษัทแบบนี้ถ้าต้องเลิกบริษัทและขายทุกอย่างทิ้งก็จะยังเหลือเงินมากกว่าราคาหุ้นที่เราจ่าย  คล้าย ๆ  กับว่าเราซื้อเงิน 1 ดอลลาร์  ด้วยเงิน 50 เซ็นต์ ซึ่งไม่มีทางขาดทุนมี  Margin of Safety สูง  คือต่อให้สถานการณ์เลวร้ายมากไม่เป็นอย่างที่คิดก็จะยังไม่ขาดทุน

    ความเสี่ยงที่บริษัทจะ “ล้มละลาย” จากการที่ไม่สามารถใช้หนี้ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เบนเกรแฮมให้ความสำคัญ  ดังนั้น  เขาจะเน้นลงทุนเฉพาะในบริษัทที่มีหนี้ไม่สูงเกินไป  และบริษัทที่ทรัพย์สินหมุนเวียนสูงเมื่อเทียบกับภาระหนี้  ความคิดนี้อาจจะมาจากการที่เขาเห็นบริษัทจำนวนมากต้องล้มละลายในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจทั้ง ๆ ที่อาจจะเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดีแต่มีหนี้มากเกินตัวโดยเฉพาะหนี้ระยะสั้น

    ในภาพพอร์ตโฟลิโอโดยรวม  วิธีที่เบนเกรแฮมแนะนำก็คือการถือหุ้นจำนวนมาก  อย่างน้อยอาจจะ 20-30 ตัวเพื่อที่จะกระจายความเสี่ยง  นอกจากนั้น  เขาแนะนำให้ถือพันธบัตรด้วย  สัดส่วนคร่าว ๆ  ก็คือ  ให้ถือหุ้นระหว่าง 25-75%  ที่เหลือเป็นพันธบัตร ตามสภาวะของตลาดหุ้น  ถ้าคิดว่าราคาหุ้นถูกมากก็อาจจะถือหุ้นถึง 75% ถ้าแย่ที่สุดก็ถือเพียง 25%  เป็นต้น

    เรื่องของจิตวิทยาของคนในตลาดหุ้นก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เบนให้ความสำคัญ  เขาบอกว่าเราต้องพยายามอย่าตามความคิดหรืออารมณ์ของคนอื่นหรือตลาด  การที่คนแห่เล่นหุ้นตัวไหนและทำให้หุ้นมักมีราคาแพงเกินพื้นฐานนั้นไม่ได้หมายความว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นจะสูงตามนั้น  เช่นเดียวกัน  หุ้นบางตัวที่ราคาตกลงมามากก็อาจจะไม่ได้แปลว่าพื้นฐานเลวร้ายลงขนาดนั้น  สิ่งที่เราควรทำก็คือการพิจารณาอย่างรอบคอบและฉกฉวยประโยชน์โดยการขายหุ้นที่แพงเกินและซื้อหุ้นที่ถูกกว่าความเป็นจริงให้กับ Mr Market หรือ  “นายตลาด”  ที่  “อารมณ์แปรปรวนไม่มีเหตุผล”

    เมื่อพบว่าหุ้นถูกหรือแพงกว่าความเป็นจริง  เบนเกรแฮมก็จะพยายามวิเคราะห์ดูว่าอะไรทำให้มัน Undervalue หรือ Overvalue  การเข้าใจประเด็นนี้จะทำให้เราลงทุนได้ถูกต้องขึ้น  เช่น  ถ้าราคาต่ำเพราะว่ามันเป็นธุรกิจ “ตะวันตกดิน”  ที่ไม่มีโอกาสจะดีขึ้นได้มีแต่จะค่อย ๆ  แย่ลงและตายไปในที่สุด  แบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าไปลงทุน  เป็นต้น  แต่ถ้า Undervalue เพราะมันเป็นหุ้นที่คนไม่ชอบและไม่ประทับใจ  อาจจะเนื่องจากมันดู “โตช้า” ในช่วงเร็ว ๆ นี้  หรืออาจจะเป็นเหตุผลอื่นที่รุนแรงแต่เกิดขึ้นครั้งเดียวและแก้ไขได้  แบบนี้ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีของเราในการลงทุน  เป็นต้น

    กลยุทธ์และแนวทางแบบเบนเกรแฮมดั้งเดิมนั้นมีอยู่อีกมากมาย  บ่อยครั้งในบางช่วงเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ตลาดหุ้นสดใส  คนก็จะดูว่ามัน  “ล้าสมัย”  ทำกำไรช้า  และไม่ถูกต้อง  แค่คำกล่าวที่ว่าเขาไม่ค่อยสนใจ “ปัจจัยด้านคุณภาพ”  เน้นแต่ด้านปริมาณ  ก็ทำให้หลายคนเบือนหน้าแล้ว  แต่เราควรจะเข้าใจสภาวะตลาดที่มีอิทธิพลต่อความคิดเขาในขณะนั้นด้วย  เหนือสิ่งอื่นใด  เขาอาจจะสนใจเรื่องปัจจัยคุณภาพด้วย  เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่เชื่อเรื่องความสามารถในการคาดการณ์ว่าจะมีใครทำได้ถูกต้อง  และอะไรที่ไม่ถูกต้องสำหรับเขาแล้วก็เป็นเรื่องความเสี่ยงที่เขาไม่อยากรับ  หลักการของเขาก็คือ  การลงทุนแปลว่าเราต้องได้รับผลตอบแทนแน่ ๆ  ไม่มากก็น้อย  ถ้าไม่ใช่  มันก็คือการเก็งกำไร  และทั้งหมดนี้ก็คือแนวทางคร่าว ๆ  ของการลงทุนแบบเบน เกรแฮม ที่ผมกำลังนำกลับมาใช้ในยามนี้ที่ตลาดหุ้นกำลังเหงาหงอยลงหลังจากความ “ฟู่ฟ่า” ที่ยาวนาน

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-----------------------

วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การลงทุนเกมน่าเบื่อ

'การลงทุน-เกมน่าเบื่อ'

เวลาพูดถึงเรื่องของการลงทุน  คนทั่วไปรวมถึงนักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นที่ยังเป็นมือใหม่มักจะคิดถึงกิจกรรมหรือการเล่นที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ  เป็นกิจกรรมที่ “ดุเดือดเลือดพล่าน” ที่นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นต้องมีไหวพริบและกลยุทธ์หรือกลเม็ดเด็ดพรายรอบตัวที่เหนือกว่าคนอื่น  นอกจากนั้น  พวกเขาก็ยังต้องมีความรวดเร็วตัดสินใจเด็ดขาดได้แบบนาทีต่อนาที  จิตใจต้องเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว  บางทีก็ต้องพร้อมที่จะ “ตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต”  บางครั้งก็สามารถ “ทุ่มสุดตัว”  ได้ทันทีเมื่อ  “โอกาสมาถึง”   เรื่องราวหรือ Story ของการลงทุนแต่ละครั้งของนักลงทุนแต่ละคนโดยเฉพาะที่เป็น  “เซียน”  ดูมีสีสันน่าตื่นเต้น  บางครั้งทำกำไรมโหฬารในเวลาอันสั้น  บางคนก็พลาดเสียหายหนัก  ทั้งหมดนั้นดูเหมือนว่าเป็นเรื่องของฝีมือและ/หรือโชคบ้าง  เกมของการลงทุนนั้นดูเหมือนไม่มีใครคิดว่าน่าเบื่อเลย  คนคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนุกและคนจำนวนมากอยากทำ  อยากเลือกหุ้นลงทุน  สนุกกับการ  “ลุ้น” ว่าหุ้นจะขึ้นไปแค่ไหนและจะได้กำไรเท่าไร

    แต่ความเป็นจริงก็คือ  ภาพที่เห็นอาจจะไมตรงกับความเป็นจริง  ความน่าตื่นเต้นเร้าใจอาจจะไม่ได้แปลงออกมาเป็นผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุน  คนลงทุนที่ตื่นเต้นและสนุกกับการลงทุนอาจจะแพ้คนที่ลงทุนแบบน่าเบื่อหน่าย  เซียนหุ้นที่ดูน่าตื่นเต้นมีเรื่องราวการลงทุนที่โดดเด่นน่าติดตามมากกรณีนั้นอาจจะแพ้เซียนที่ดูเงียบเหงาน่าเบื่อหน่ายไม่เคยมี “หุ้นเด็ด” ที่ลงแล้ว “เปลี่ยนชีวิต” ภายในปีสองปีหรือน้อยกว่านั้น  ประวัติศาสตร์ของการลงทุนและนักลงทุนนั้นบอกให้เรารู้ว่า  การลงทุนนั้นเป็นเกมที่เชื่องช้าน่าเบื่อ  วอเร็น บัฟเฟตต์ บอกว่าเหมือนตัวสล็อตที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เคลื่อนไหวช้าที่สุดในโลก  ผมเองคิดว่ามันเป็นเรื่องของเต่าที่เดินช้าแต่มีกระดองที่ไม่มีใครทำอะไรมันได้   ถ้าเปรียบเทียบกับสงคราม  มันคือสงครามยืดเยื้อที่น่าเบื่อหน่ายไม่ใช่สงครามสายฟ้าแล็บ  ถ้าเปรียบกับการแข่งขันกีฬามันก็เป็นการแข่งวิ่งมาราธอนไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร  มันไม่ตื่นเต้นยกเว้นเฉพาะตอนได้ชัยชนะหรือถึงเส้นชัย  แต่ในระหว่างทางนั้นบางทีก็มีแต่อุปสรรค  หลายครั้งเราหมดหวัง  ความอดทนกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เรายังอยู่ในสนามหรืออยู่ในเกม    การ  “เอาตัวรอด” เป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดส่วนหนึ่ง  กลยุทธ์ส่วนใหญ่ที่เราใช้ก็เป็นไปตามนั้น  ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นในระหว่างทางที่ยาวไกล

    เรื่องราวของวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้นดูมีสีสันและน่าตื่นเต้น  คนอาจจะคิดว่านี่คือสิ่งที่บอกว่าเกมการลงทุนเป็นเกมที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ  แต่นี่เกิดขึ้นเพราะเขารวยมากแล้วและดังระดับโลกเพราะผลงานที่สะสมมานานจนเป็นที่ประจักษ์   แต่ถ้าดูผลงานการลงทุนเฉพาะตัวหุ้นหรือผลงานของพอร์ตของเขาเราก็อาจจะได้เห็นอีกภาพหนึ่งว่าจริง ๆ  แล้ว  หุ้นที่เขาลงและผลงานของพอร์ตของบัฟเฟตต์เองนั้น  ไม่ได้หวือหวาอย่างเซียนในระดับเดียวกันเลย  หุ้นแต่ละตัวที่เขาลงทุนนั้นดูธรรมดามาก  เป็นหุ้นเก่า ๆ  ที่อยู่มานานมีคนซื้อขายกันจนไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว  ราคาหุ้นก็ไม่ได้หวือหวาอะไรเลยก่อนหน้านั้นรวมทั้งผลประกอบการของบริษัทเองก็เป็นแบบเดียวกัน   ตัวอย่างเช่นหุ้นโค๊ก หุ้นใบมีดโกนยิลเล็ต  หุ้นซอสมะเขือเทศไฮนน์ ที่เขาซื้อหลังจากที่บริษัทอยู่มาหลายสิบปีและกิจการก็โตมาจนน่าจะ  “อิ่มตัว”  แล้วในสายตาของคนทั่วไป  เป็นต้น

    หุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อเองนั้น  ก่อนที่เขาจะดังระเบิดอย่างในวันนี้  ราคาหุ้นก็มักจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นหวือหวา  และในเวลาต่อมามันก็ไม่เคยปรับตัวขึ้นรุนแรงกลายเป็นหุ้น “ขวัญใจ”  ที่ทุกคนหันมาเล่นกันและราคาขึ้นเป็นเท่า ๆ  หรือหลาย ๆ เท่าในเวลาอันสั้น  หุ้นที่เขาซื้อนั้นมักจะขึ้นไปเรื่อย ๆ  ช้า ๆ  แต่ไม่ค่อยลงเพราะมันเป็นกิจการที่เข้มแข็งมีความสามารถในการแข่งขันเหนือกว่าคู่แข่งอย่างยั่งยืน  ดังนั้น  กำไรมันมั่นคงแน่นอนซึ่งทำให้ราคาหุ้นยืนอยู่ได้ในเกือบทุกสถานการณ์  เวลาผ่านไปยิ่งนาน  ราคาก็ยิ่งขึ้นไป  พอถึงวันหนึ่งคนค่อยตระหนักว่ามันคือหุ้น “สุดยอด”  ที่ไม่เคยดังจริง ๆ  เลย  ไม่เคยขึ้นหวือหวาและคนกล่าวขวัญถึง  คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิดจะซื้อในระหว่างทางเพราะมันดูนิ่ง ๆ  ไม่น่าสนใจไม่มีเรื่องราวโดดเด่น  นี่คือหุ้นน่าเบื่อแต่มันทำเงินในระยะยาว  “ที่เส้นชัย”

    พอร์ตของบัฟเฟตต์เองนั้น  ดูน่าประทับใจมาก  แต่นี่เกิดขึ้นหลังจากเวลาผ่านมานานมากหลายสิบปี  ในระหว่างทางนั้นมันก็ไม่น่าตื่นเต้นอะไรนัก  แต่ละปีมีหุ้นน้อยตัวในพอร์ตที่วิ่งขึ้นเป็น “กระทิงดุ”  ดังนั้นมันจึงไม่มีข่าวอะไรที่มีสีสันเหมือนกับเซียนคนอื่น ๆ  หลายคน  ผลงานการลงทุนของพอร์ตของบัฟเฟตต์ที่น่าสนใจแต่ไม่น่าตื่นเต้นก็คือ  เขาไม่ค่อยจะขาดทุนเลยไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร  ประมาณ 60 ปีที่ผ่านมาพอร์ตของเขาน่าจะขาดทุนไม่เกิน 6 ครั้ง  เช่นเดียวกัน  การเติบโตของพอร์ตของเขาปีต่อปีก็สูงแต่ไม่น่าตื่นเต้นที่ประมาณ 20% บวกลบ แต่แทบจะไม่มีเลยที่พอร์ตจะกำไรเกิน 50% ต่อปี

    เวลาจะซื้อหุ้นหรือเทคโอเวอร์บริษัทเองนั้น  สำหรับบัฟเฟตต์เองก็ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ดูตื่นเต้นอะไร  เขานั่งทำงานอยู่ในออฟฟิสตั้งแต่เช้ายันเย็นเป็นส่วนใหญ่  ใช้เวลากับการอ่านเป็นหลัก  เขาไม่เคยดิ้นรนวิ่งไปหาผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการเพื่อหาข้อมูลลึกแนว  Inside หรือขอซื้อหุ้นหรือกิจการในราคาพิเศษ  เขา “รอ”  ไปเรื่อย ๆ  รอให้มีคนเสนอขายกิจการหรือรอให้หุ้นที่เขาสนใจมีราคาที่เหมาะสมแล้วก็ตัดสินใจลงมือทำ  เขาไม่เสนอตัวไปแข่งกับใครหรือพยายามเข้าไปคุยหาดีลกับบริษัท  ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างจะมีเวลาว่างมากกว่าทรัพย์สินหรือสถานะของเขามาก  ชีวิตประจำวันของเขานั้น  แม้ว่าส่วนตัวเขาเองจะคิดว่าไม่เป็นชีวิตที่น่าเบื่อเพราะเขาบอกว่าเขารักงานของเขาและมีความสุขทุกวันที่ไปทำงาน  แต่มองจากภายนอกแล้ว  เราคงรู้สึกว่า  “น่าเบื่อ”  เพราะวัน ๆ  ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรนัก

    ประสบการณ์ของผมจากการศึกษานักลงทุนที่เป็นหรือเคยเป็น “เซียน”  ทั้งในระดับโลกและในตลาดหุ้นไทยผมคิดว่ามีบทเรียนที่น่าสนใจก็คือ  นักลงทุนส่วนใหญ่และคนในแวดวงตลาดหุ้นต่างก็ชอบลงทุนหรือเล่นหุ้นที่น่าตื่นเต้น  เป็นหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงมาก ๆ  ทั้งในเรื่องของพื้นฐานของกิจการและราคาหุ้น  พวกเขาจะเชียร์กันสนั่นเมื่อมีหุ้นที่เข้าเกณฑ์หรือมีคุณสมบัติดังกล่าว  และก็จะเข้ามาซื้อขายหุ้นหรือลงทุนอย่างหนัก  นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น  “ขาใหญ่” ที่เข้าไปโหมซื้อจนมีสถานะเป็น “ผู้ถือหุ้นใหญ่”  เมื่อมีการประกาศในข้อมูลของบริษัทเขาก็จะได้รับการสรรเสริญชื่นชมว่ามีความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นได้ดีเด่นและ “ทำกำไร”  เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นไปแรง  จากนั้นก็อาจจะมีคนซื้อตามและส่งเสริมให้หุ้นได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น  คนจำนวนมากที่เข้าไปซื้อก่อนหน้านั้นได้กำไรและก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นและพึงพอใจ   เวลาต่อมาหุ้นตัวนั้นก็อาจจะตกลงมาแรงเมื่อผลประกอบการอาจจะไม่ดีตามที่คาด  หรือบางทีก็อาจจะดีแต่ราคาหุ้นแพงเกินพื้นฐานไปมากทำให้นักลงทุนบางส่วนรวมถึงรายใหญ่อาจจะขายหุ้นทิ้งทำให้ราคาลดลงมามาก  คนจำนวนมากที่เข้าไปทีหลังขาดทุนอย่างหนัก  บางครั้งนักลงทุนรายใหญ่ก็ขาดทุนเช่นกันหาก “ปล่อยของ” ไม่ทัน   โดยรวมแล้วคนที่กำไรและคนที่ขาดทุนอาจจะพอ ๆ  กันหรือแตกต่างกันก็ได้แต่คนที่ขาดทุนมักไม่พูดแต่คนที่กำไรพูดไปแล้วทั้ง ๆ  ที่ต่อมาอาจจะขาดทุนทีหลัง

    ผมเองเห็นคนที่ทำผลงานเป็นกรณี ๆ  หรือหุ้นเป็นตัว ๆ  ได้น่าประทับใจอยู่พอสมควร  ซึ่งก็เกิดความรู้สึกว่ากำไรของพอร์ตโดยรวมน่าจะดีมาก—ทุกปี  อย่างไรก็ตาม  เวลาผ่านไปหลาย ๆ  ปี  ผมเองก็ไม่ได้เห็นว่าเขาเหล่านั้นมีผลการลงทุนแบบทบต้นที่โดดเด่นมาก ๆ  อย่างที่คิด  แน่นอนว่าคนที่ลงทุนหรือแม้แต่เก็งกำไรแบบ Aggressive ในช่วง  “ยุคทอง”  ที่ผ่านมาต่างก็รวยในระดับหนึ่งทั้งนั้น  แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ไม่ได้ทำได้เหนือกว่านักลงทุนที่ “ลงทุนเต็มร้อย”  แบบ  “น่าเบื่อ”  เช่นเดียวกัน  ดังนั้น  ผมจึงสรุปโดยอาศัยประสบการณ์การอ่านจากต่างประเทศว่า  การลงทุนแบบที่รู้สึกว่า “น่าเบื่อ”  นั้น  ดีกว่าการลงทุนที่รู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
--------------------

cahttradingview

AAPL ชาร์ต โดย TradingView