วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560

แนวทางการลงทุนแต่ละคนไม่เหมือนกัน?

Irwin Duran นักลงทุนท้องถิ่นไม่มีชื่อเสียง แต่เป็นนักลงทุนพันธ์แท้ใช้ชิวิตแบบสมถะ บริจาคเงินแบบเงียบๆ ให้แก่บ้านเกิด เมื่อง Leesburg, Virginia มากกว่า USD30 Million  เขามีเงินมากกว่า 17,000 ล้านบาท แต่ไม่เป็นที่รู้จักแม้แต่คนในเมืองนั้น ความรำ่รวยของเขามาจากการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก (หุ้นเติบโตที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนัก) และทำกำไรมหาศาลเมื่อบริษัทที่ลงทุนกลายเป็นหุ้นขนาดกลาง (จงให้ความสำคัญแก่ Market Cap เมื่อลงทุนระยะปานกลางและยาว)   กลยุทธในการลงทุน

1. ลงทุนเฉพาะหุ้นขนาดเล็ก แต่ละหุ้นถือไม่น้อยกว่า 3-5 ปี ขายเมื่อบริษัทเติบโตถึงจุดหนึ่งที่ผ่านช่วงขาขึ้นมาแล้ว  2. ลงทุนเฉพาะบริษัทที่เขารู้จักและเข้าธุรกิจเป็นอย่างดี แต่ละตัวลงทุนด้วยปริมาณมากอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้จะต้องเข้าใจบริษัทที่ลงทุนอย่างลึกซึ้ง 3. ลงทุนแบบไม่สนใจภาวะตลาด ไม่เก็งว่าตลาดจะขึ้นหรือลง สนใจเฉพาะปัจจัยพื้นฐานของหุ้นที่ลงทุน เมื่อราคาหุ้นตกลงโดยไม่มีเหตุผลจะถือเป็นโอกาสให้ลงทุน 4. เมื่อลงทุนผิดพลาด พื้นฐานเปลี่ยน จะขายทิ้งทันที ส่วนหุ้นที่ลงทุนไปแล้วผลการดำเนินงานดีขึ้นเรื่อยๆ ตามคาดจะถูกเก็บไว้ยาวนาน หลายตัวกำไรเป็นสิบเท่าก็ยังไม่ขาย (หุ้นเติบโตที่ดีมักเริ่มต้นจากฐานกำไรที่ต่ำ กำไรค่อยๆ ขยับขึ้นตามแหล่งที่มาของกำไรที่ขยายฐานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนแบ่งตลาดค่อยๆเพิ่ม ขณะที่ค่าใช้จ่ายคงที่ หรือลดลง)  5.ให้ความสำคัญต่อการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุน การผึกฝน และ ประสบการณ์ในการลงทุนมีความสำคัญ โดยที่นักลงทุนไม่จำเป็นต้องฉลาด หรือ เก่งคำนวณ แต่จำเป็นต้องเข้าใจธุรกิจ และ มองแนวโน้มของการเติบโตในระยะยาวว่ากำไรส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นได้จากธุรกิจส่วนไหน

นักลงทุนปกติจะกลัวมาก กับ สภาพตลาดหุ้น 2 ลักษณะ:- 1. กลัวว่าดัชนีจะตกต่ำลง และ หุ้นที่เข้าไปลงทุนจะตกตามไปด้วย  ถ้าพอมีกำไรก็รีบชิงขาย กะว่าเมื่อขายไปแล้วจะกลับมาช้อนกลับ  ถ้าเราได้ยินนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นจะตกต่ำลง โอกาสตกจริงๆจะมีเพียง 50% ทำนองเดียวกันถ้าคาดการณ์ว่าจะวิ่งขึ้นไป 200 จุดในปีนี้ โอกาสที่มันจะขึ้นไปอย่างนั้นจริงๆคงมีน้อยกว่า 50% สรุป กลยุทธของเราคือ เราไม่ได้ซื้อดัชนี เราซื้อตัวหุ้น  ถ้าตลาดตกจะเป็นผลดีที่จะซื้อหุ้นที่อยู่ใน Watch List ของเราในราคาถูกลง

2. เราจะกลัวหุ้นที่มีราคาสูง ส่วนใหญ่คิดว่าหุ้นคงเหมือนกับต้นไม้ คือ ถ้าสูงแล้วจะสูงไปอีกไม่ได้มาก  ซึ่งเป็นเรื่องของจิตวิทยาโดยแท้ ในความเป็นจริงราคาหุ้นจะขึ้นลงตามปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว เมื่อเราสามารถซื้อไม้แรกได้ในราคาต่ำแล้ว  ทำไมเราจะขายออกและหวังช้อนกลับ ในเมื่อความจริงทุกครั้งเราจะซื้อกลับน้อยลงเรื่อยๆ    หุ้นเติบโตที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนัก มักจะมีกำไรที่เติบโตไม่มากในช่วงแรก มันจะเร่งทะยานเมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่กำไรจะโตแบบก้าวกระโดด ตามแหล่งที่มาของรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากธุรกิจเดิม และ ธุรกิจใหม่ (ให้ความสำคัญต่อ Demand Trend ของแหล่งธุรกิจ)

Cr:line


ภาพคลิปไม่เกี่ยวกะเนื้อเรื่อง..เด็กทาแป้งเองคับ5555


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

cahttradingview

AAPL ชาร์ต โดย TradingView