วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แมว 9 ชีวิต

นิทานการตลาด ตอนที่ 34


ท่ามกลางภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายติดต่อกันมานานนับสิบปี ได้แสดงให้ผู้คนมากมายในประเทศไทยได้เห็นถึงความล้มเหลวของธุรกิจหลากหลายรูปแบบ และในท่ามกลางการเอาตัวให้รอดจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจทุกคนก็ย่อมต้องหาเครื่องมือทุกรูปแบบออกมาต่อสู้กันเพื่อให้ธุรกิจของตัวเองสามารถดำเนินต่อไปได้ และธุรกิจมากมายที่เคยมีชื่อเสียงระดับประเทศได้ก็ปิดตัวลงไปจำนวนไม่น้อย ส่วนธุรกิจรายใหม่ๆ ที่เพิ่งแจ้งเกิดก็ต้องตกอยู่ในภาวะตายตั้งแต่แรกเกิดก็นับจำนวนไม่ถ้วน เจ้าของธุรกิจไม่น้อยที่ถึงกับตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาที่ตัวเองได้ก่อขึ้น ส่วนที่รอดจำนวนไม่น้อยก็ต้องถึงกลับสิ้นเนื้อประดาตัว และหมดกำลังใจจนไม่สามารถลุกขึ้นต่อสู้ได้ไหวด้วยการปิดตำนานตัวเองไปเลย

อาจเพราะผมเกิดมาเป็นทายาทของนักธุรกิจระดับแนวหน้าของจังหวัด ที่มีกิจการมากมายหลายอย่าง จึงได้ถูกซึมซับวิธีคิดและถูกทอดทอดวิธีการวางเป้าหมายในชีวิตที่ผิดแผกไปจากคนส่วนใหญ่ในสังคม และทั้งๆ ที่คุณพ่อของผมก็ไม่เคยมีเวลาที่จะมาพร่ำสอนวิชาเฒ่าแก่ให้กับผมเลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็อาจจะซึมซับได้จากวิถีชีวิตของคุณพ่อ ตั้งแต่แนวการดำเนินชีวิต แนวการคิดตลอดจนวิธีการตัดสินใจที่คุณพ่อผมเคยแสดงให้ดู จนกระทั่งเวลาต่อมาผมก็ได้ซึมซับความเป็นคนพ่อเข้ามาอยู่จนเต็มหัวใจของผม

ผมตัดสินใจเป็นเจ้าของกิจการที่ยิ่งใหญ่เกินตัวตั้งแต่อายุเพียง 25 ปี ด้วยการเป็นเจ้าของกิจการค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งในวัยขนาดนั้น ถือว่ากระดูกยังอ่อนมาก ประสบการณ์เป็นเฒ่าแก่ก็ไม่เคยมีมาก่อน แค่เคยทำงานซีพีมาปีกว่าๆ บวกกับเคยเป็นเซลปูนซีเมนต์เพียงครึ่งปี ผมก็คิดการณ์ใหญ่เกินตัว ลาออกมาเปิดกิจการค้าวัสดุก่อสร้างเป็นของตัวเอง ผมใช้เวลาเพียงสั้นๆ ไม่ถึง 6 เดือนก็สามารถขยายธุรกิจของผมให้เติบโตจนตัวเองมีเงินฝากธนาคารหลายล้านบาทเลยทีเดียว

แต่เพียงเวลาปีเศษๆ ต่อมาธุรกิจค้าวัสดุก่อนสร้างของผมก็ล่มสลายเพราะความอ่อนประสบการณ์ เริ่มต้นจากการตัดสินใจขยายการลงทุนเร็วเกินไป ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อเยอะเกินตัว และการตัดสินใจขายสินค้าในราคาต่ำเกินไปจนกำไรไม่เพียงพอต่อการนำมาเป็นรายจ่ายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ผมใช้เวลาหลายเดือนที่จะแก้ไขปัญหา ด้วยการชักข้างหลังมาปะข้างหน้า ชักข้างหน้าไปปะข้างหลัง จนเริ่มขยายไปสู่การกู้ยืมคนใกล้ชิด ตามด้วยกู้ยืมเงินธนาคาร แก้ไปแก้มาสุดท้ายกิจการก็ล้มสิ้นเชิง ในวัยเพียง 26 ปีเศษๆ สรุปว่ากิจการส่วนตัวหมายเลข 1 ของผมก็ต้องปิดฉากลงด้วยอายุของกิจการสั้นๆ เพียงปีเศษเท่านั้น

คนไม่เคยล้มเหลวในชีวิตแม้แต่ครั้งเดียวอย่างผมในตอนนั้น บอกได้เลยว่า..ความตายไม่น่ากลัวเท่ากับความล้มเหลว ตอนนั้นผมรู้สึกหดหู่กับชีวิตมาก จากคนที่เคยกลัวผีมากที่สุด ยังกล้าเลือกที่จะนอนใต้หอระฆังในวัดแถวบ้าน ซึ่งหอระฆังตั้งตรงกันข้ามกับเตาเผาศพในวัด เพราะผมตัดสินใจว่า..ควรจะเป็นจุดเดียวที่ผมจะมีโอกาสได้เจอกับผีจริงๆ สักครั้ง เพื่อผมจะได้ถามผีว่า..เป็นผีต้องลำบากอะไรไหม ถ้าคำตอบว่าไม่ลำบากผมก็จะตัดสินใจเป็นผีล่ะ แต่ก็แปลกนะผมอุตส่าห์ไปนอนใต้หอระฆังที่ตั้งตรงข้ามกับเตาเผาศพจนครบ 7 วัน เพื่อที่จะเจอผี แต่กลับไม่เจอเลยแม้สักคืน สุดท้ายก็ต้องบากหน้ากลับบ้านเพื่อตั้งหลักต่อสู้กับอุปสรรคและเตรียมตัวแก้ไขปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้นต่อไป

นิทานเรื่องนี้อาจยาวเกินไปถ้าผมจะอธิบายซะจนละเอียดว่าผมฝ่าฝันอุปสรรคจากความล้มเหลวครั้งแรกในชีวิตมาได้อย่างไร ผมจึงขอข้ามขั้นตอนไปเลยว่า ... ในที่สุดผมได้ตัดสินใจทิ้งตำแหน่งเฒ่าแก่เจ้าของกิจการค้าวัสดุก่อสร้าง คืนสู่ตำแหน่งลูกจ้างอีกครั้งหนึ่ง และผมก็สามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์จนได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งพร้อมปรับเงินเดือนในระดับที่น่าพอใจอย่างมาก และผมใช้เวลารักษาบาดแผลจากความล้มเหลวเพียงไม่ถึง 3 ปีเต็ม ผมก็เริ่มมีวิญญาณเฒ่าแก่เข้าสิงห์อีกครั้ง ด้วยการคิดจะเป็นเจ้าของกิจการร้านขายหนังสือที่มีสาขามากมาย ตอนนั้นกะว่าจะผงาดขึ้นมาแข่งกับร้านหนังสือดอกหญ้ามันซะเลย เพราะรู้สึกสะใจดี

ความบ้าประกอบความเป็นคนคิดใหญ่เกินตัวมันพาไปแท้ๆ ทำให้ผมบ่าบิ่นเปิดร้านหนังสือสาขาที่ 1 ตามด้วยสาขาที่ 2 ไปจนกระทั่งมีมากถึง 14 สาขา แล้วสุดท้ายก็มาพังตอนที่มีสาขามากถึง 14 สาขานี่แหละ ตอนเปิดก็ค่อยๆ เปิดร้านที่ละ 1 แห่ง แต่พอตอนพัง มันจบทีเดียว 14 แห่งเลย ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวครั้งที่สอง และดูเหมือนจะล้มเหลวยิ่งใหญ่กว่าครั้งแรกเสียอีก ความล้มเหลวครั้งนี้นอกจากจะสูญเสียเงินจำนวนมากแล้ว ยังสูญเสียความมั่นใจในชีวิตไปเกือบสิ้นเชิง ประกอบกับรู้สึกหน้าแตกยับเยินจนแทบจะเข้าหน้าเพื่อนสนิทไม่ได้เลยทีเดียว แต่ก็ทำไงได้ล่ะในเมื่อล้มเหลวแล้ว จะให้คิดตายอีกครั้งก็คงไม่ใช่ เพราะเรื่องราวทุกอย่างเราสร้างมันขึ้นมา แล้วเราก็ทำมันพังลงไปราบคาบด้วยมือของเราเอง ไม่ใช่เพราะใคร

ผมได้สติจากความล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่เป็นรอบที่สอง พร้อมกับเริ่มทบทวนปัญหาและค้นหาสาเหตุ อย่างน้อยก็เพื่อไว้ปลอบใจตัวเอง ไม่ให้ต้องตรอมใจตายไปเสียก่อน จังหวะนั้นก็จำเป็นต้องบอกลาชีวิตเฒ่าแก่อีกครั้งเพื่อย้อนกลับมาเป็นนักบริหารอาชีพอีกรอบ โชคยังดีที่ผมเคยมีผลงานไว้ไม่น้อยจนทำให้เจ้านายเก่ายังพอเห็นใจและพอจะให้โอกาสได้อีก และผมก็ใช้เวลาอีกเพียงไม่เกิน 2 ปีต่อมา ก็เริ่มจะรักษาแผลใจได้จนหมดสิ้น แล้วก็พร้อมจะโบยบินอีกครา ... สงสัยตัวเองจะเกิดมาเป็นนก พอแข็งแรงเข้าหน่อยก็นึกแต่จะโผบินทุกที แต่คราวนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว การคิดอะไรก็ต้องรอบคอบกว่าเดิม ไม่บ้าบิ่นเหมือนเก่า ผมจึงเลือกที่จะโผบินไปสู่ตำแหน่งนักบริหารอาชีพให้กับองค์กรอื่น ด้วยข้อต่อรองด้านผลตอบแทนที่มากมายพอจะพลิกฐานะตัวเองได้เลยทีเดียว

ชีวิตผมพลิกไปพลิกมา เปลี่ยนไปเปลี่ยนผม เดี๋ยวก็บินขึ้นสูงจนใครๆ แตะต้องไม่ถึง เดี๋ยวก็หล่นต่ำลงมาจนใครๆ ตกใจ ชีวิตราวกับเทพนิยายที่ถูกเขียนขึ้นมาจากจินตนาการของผม บางทีทำให้แม้แต่ตัวผมเองก็ยังรู้สึกเหนื่อยกับชีวิต ที่ความจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องโลดโผนอะไรมากมายนัก บ้านมีนอน รถมีขับ เงินมีพอใช้ เกียรติก็สูงใช่ย่อย แต่ก็เพราะความไม่รู้จักพอของชีวิต ก็ทำให้ผมบ้าบิ่นทำอะไรต่อมิอะไร อีกหลายต่อหลายอย่าง ล้มแล้วก็ลุก ลุกแล้วก็ล้ม ตอนล้มแต่ละทีก็เรียกว่าบาดเจ็บปางตาย ตอนลุกแต่ละหนก็แทบต้องคลานอยู่นานกว่าจะตั้งไข่ได้อีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยที่จะย่อท้อเลยสักที

จนกระทั่งวันหนึ่งมีนักธุรกิจรายใหญ่ชาวโคราชได้มอบตำแหน่ง “แมวเก้าชีวิต” ให้กับผม แรกๆ ผมก็ไม่คุ้นกับตำแหน่งแมวเก้าชีวิตสักเท่าไหร่ แต่พอทบทวนไป ทบทวนไปก็เริ่มกระจ่างมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าตำแหน่งแมวเก้าชีวิต มันพอจะใช้ได้กับชีวิตของผมเองได้จริงๆ เพราะถ้าหากเป็นคนอื่น เดี๋ยวล้ม เดี๋ยวลุก เขาก็คงจะหมดแรงไปตั้งแต่ยกแรกหรือยกที่สองแล้ว แต่ผมยังล้มๆ ลุกๆ ได้ตั้งหลายยก แทบยังไม่ตายสักที

ชีวิตผมล้มเหลวอย่างหนักมาหลายครั้ง แต่แปลกที่ทุกครั้งตอนลุกขึ้นใหม่จะยืนขึ้นได้สูงกว่าเก่าทุกรอบ แล้วเมื่อตอนล้มใหม่ก็จะล้มดังกว่าเก่าไปทุกที จนผมเริ่มชั่งใจว่านี่ผมกำลังต้องคำสาปหรืออย่างไรกันหนอ ที่จะต้องให้ชีวิตของตัวเองต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติแรงๆ หลายครั้งหลายคราเสียเหลือเกิน บางทีตอนที่คนสนิทมาถามว่า...ทำไมล้มบ่อยจริงชีวิต ทุกไมลุกบ่อยจัง เป็นต้น จนบางทีผมก็ตอบตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมต้องล้มแล้วล้มอีก และประสบการณ์ที่เคยล้มไม่ได้สอนอะไรไว้เลยหรือย่างไร

วันนี้ผมขอเล่าความในใจจริงๆ ให้ฟังว่า...มนุษย์เราเกิดมา หากใครไม่เคยเสียใจ ก็จะไม่มีวันเข้าใจว่าความเสียใจนั้นเราจะรู้สึกเจ็บปวดสักเพียงใด และหากเราไม่เคยหัวเราะ เราก็จะไม่มีวันเข้าใจว่าความสุขที่อยู่เบื้องหลังของเสียงหัวเราะนั้นมันจะมีความสุขเป็นล้นพ้นสักแค่ไหนกัน ผมเองเคยผ่านความสุขที่ตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน จนผมชั่งใจไม่ถูกเลยว่าสุขครั้งไหนที่ผมคิดว่าสุขยิ่งใหญ่ที่สุด และผมก็เคยผ่านความล้มเหลวอย่างแสนสาหัสมาจำนวนไม่น้อยเช่นกัน จนผมนึกไม่ออกว่าความรู้สึกเสียใจจากความล้มเหลวครั้งไหนมันยิ่งใหญ่กว่ากัน แต่ผมก็สามารถยืนยันได้เต็มปากเต็มคำว่า..ตอนล้มแต่ละครั้ง ความตายกลายเป็นเรื่องเล็กสุดทุกครั้ง เพราะเรื่องใหญ่สุดคือจะลุกขึ้นอย่างไรโดยไม่ต้องตาย

วิกฤติที่รุนแรงที่สุดในชีวิตมักจะเกิดขึ้นในเวลาที่เราคาดไม่ถึง ในที่ที่เราคาดไม่ถึงและจากคนที่เราคาดไม่ถึงที่สุดเสมอ และแน่นอน...ถ้าเราคาดถึงมันก็จะไม่ใช่ปัญหาที่รุนแรงที่สุดในชีวิต และที่แปลกมากก็คือ ทุกครั้งชีวิตเราเกิดวิกฤติ มักจะเกิดพร้อมๆ กันทุกเรื่องตั้งแต่ปัจจัย 4 งาน เงิน ความรัก ชื่อเสียง เพื่อนฝูง สังคม ครอบครัว ความรู้สึกดีๆ ต่อตัวเรา ความนับถือตัวเองไปจนถึงความศรัทธา เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า...หากเราต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิต...เราจะทำยังไงดีกับชีวิต

“แมวเก้าชีวิต” คือตำแหน่งที่ผมไม่ควรชื่นใจกับมัน เพราะกว่าผมจะผ่านแมวชีวิตที่ 1 ชีวิตที่ 2 หรือชีวิตต่อๆ ไปได้นั้น ผมรู้สึกเจ็บปวดปางตายทุกรอบ จนกระทั่งวันนี้...วันที่ผมตัดสินใจลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ผมจึงบอกตัวเองอย่างเต็มปากเต็มคำว่า..การลุกขึ้นยืนครั้งนี้ ผมขอลุกขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้วล่ะ แม้ผมจะไม่แน่ใจว่าความล้มเหลวของผมผ่านมาถึงครั้งที่ 8 แล้วหรือไม่ แต่ผมก็ถือว่า...ชีวิตของผมได้ดำเนินมาถึงครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ เวลาที่เหลือของผมไม่มีพอให้เกิดใหม่ได้อีกรอบแล้ว และหากต้องตายอีกสักครั้ง ก็คงเป็นการถึงจุดอวสานแล้วจริงๆ

เพราะผมคิดได้เช่นนี้ ทำให้ผมต้องลดความประมาทลงไป พร้อมกับเพิ่มความรอบคอบมากขึ้น ผมเริ่มตัดสินใจช้าลง ซึ่งแต่ก่อนผมเคยตัดสินใจเร็วพอๆ กับฟ้าฝ่าเลยทีเดียว จากประสบการณ์ที่ผมเคยยโสโอหังว่าตัวเองไม่มีวันตาย ก็เริ่มผ่อนคลายความบ้าบิ่นลง จากที่ผมเคยจองหองไม่เคยขอร้องใครๆ ก็ต้องเริ่มลดความจองหองด้วยการยอมกล้าขอความช่วยเหลือจากใครๆ เขาบ้าง ผมเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองไปจนแทบจะกลายเป็นคนละคนกันเลย

ก่อนนี้ผมเคยตื่นเต้นดีใจชนิดออกหน้าออกตาทุกครั้งเมื่อผมทำงานอะไรสำเร็จสักอย่าง และผมก็เสียใจฟูมฟายเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อคราวล้มเหลวผิดพลาด แต่เวลานี้ผมกลับนิ่งเฉย สำเร็จอะไรสักอย่างก็วางตัวเฉยๆ กับมัน สูญเสียอะไรสักอย่างก็ไม่ฟูมฟายแม้แต่น้อย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติด้วยการปล่อยวาง ไม่ยึดติด ใครอ่านถึงบรรทัดนี้แล้วอาจคิดว่า ผมคงใกล้ถึงเวลาปลงตก แล้วก็ตัดสินใจลาโลกไปออกบวชซะตลอดชีวิต แต่ความจริงแล้วผมบอกตัวเองว่าผมกำลังค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิตระดับหนึ่งเท่านั้นเอง ที่สามารถวางตัวและวางใจให้ยอมรับกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้โดยที่ใจยังปกติสุขอยู่

ชีวิตไม่ใช่เกมคอมพิวเตอร์ และชีวิตไม่ใช่แมวที่จะตายได้ถึง 9 ครั้งเหมือนคำโบราณที่เขาพูดไว้ ดังนั้น อย่าประมาทในทุกการตัดสินใจ และก่อนที่จะไปคิดอะไรเผื่อใคร ก็อย่าลืมที่จะคิดเผื่อใจตัวเองก่อน ผมไม่ได้สอนให้ใครเห็นแก่ตัว แต่ผมเข้าใจสัจธรรมข้อที่ว่า ถ้าหากเราไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจตัวเองเสียก่อน ในโลกนี้ก็จะไม่มีใครมารู้สึกเห็นอกเห็นใจใครเราได้หรอก หลายครั้งในชีวิตของผมที่เคยล้มเหลวอย่างหนัก เพราะผมมันแต่คิดว่าผมจะพลิกชีวิตตัวเองเพื่อคนอื่น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีใครกี่คนที่ต้องการให้เราพลิกชีวิตจริงๆ หรอก ทุกคนรอบข้างเรา ทุกคนที่รักเรา ล้วนมีความคิดตรงกันแค่อยากให้ตัวเรามีความสุขกับการดำเนินชีวิต และไม่มีใครปรารถนาให้เราต้องทุกข์ระทมอย่างหนัก เพื่อให้พวกเขามีความสุขใจหรอก

ฉะนั้นเกิดมาชาติหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องบ้าบิ่นนักก็ได้ ไม่ต้องยิ่งใหญ่เกินไปก็ได้ ไม่ต้องไปยืนบนบันไดขั้นสูงสุดเพื่อห้อยเหรียญทองไว้ที่คอ เราก็สามารถมีความสุขได้ เพราะความสุขของคนเราไม่ได้วัดกันที่ขนาดของบ้านที่เราอาศัย ความสุขไม่ได้วัดกันที่ยี่ห้อของรถยนต์ ความสุขไม่ได้วัดกันที่จำนวนยอดเงินฝากในธนาคาร แต่ความสุขมันอยู่แค่ใจของเราคิด ว่าเรารู้สึกพึงพอใจกับความเป็นอยู่ของตัวเองมากน้อยแค่ไหนต่างหาก ... ลาก่อนนะ “แมวเก้าชีวิต” ผมไม่ต้องการตำแหน่งนี้อีกต่อไปแล้วสำหรับเวลาต่อไปนี้


โดย อาจารย์วรกร ชำนาญไพศาล
เขียนเมื่อ วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

cahttradingview

AAPL ชาร์ต โดย TradingView